คดีนี้คำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำเลยส่งมอบที่ดินซึ่งจำเลยเช่าคืนให้โจทก์ กับใช้ค่าเสียหาย ในชั้นบังคับคดี โจทก์ยื่นคำร้องขอให้บังคับบริวารของจำเลยซึ่งไม่ออกจากที่พิพาท ผู้ร้อง ๒๑ คน ร้องว่าตนไม่ใช่บริวารของจำเลย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า นายเซ่งฮ้อกับพวกรวม ๖ คน เป็นผู้เช่าช่วงที่ดินของโจทก์ไม่ใช่บริวารของจำเลย ส่วนนายเท่งอี้ กับพวกรวม ๑๕ คน ฟังได้ว่าเป็นบริวารของจำเลย จึงให้ยกคำร้องของนายเท่งอี้กับพวก รวม ๑๕ คนเสีย
นายเท่งอี้กับพวก รวม ๑๕ คน อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่านายเท่งอี้กับพวกเป็นผู้เช่าช่วงที่ดินของโจทก์ จึงพิพากษาแก้ให้ยกคำขอของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์และผู้ร้องรับกันว่านายลิ่มจั๊วเช่าที่ดินของโจทก์เพื่อให้เช่าช่วงปลูกห้องแถวอยู่อาศัยเองบ้าง และนายลิ่มจั๊วปลูกให้เช่าบ้าง โดยความยินยอมของโจทก์ ต่อมานายลิ่มจั๊วได้โอนการเช่าให้นายคุนตี๋ จำเลยกับพวกเช่าต่อจากโจทก์ และได้โอนการเช่าต่อกันมาจนถึงจำเลยที่ ๑ กับพวก โดยความยินยอมของโจทก์ และให้ที่ดินไปให้เช่าช่วงได้ ส่วนผู้ร้อง ๑๕ คนนี้ เป็นผู้เช่าห้องแถว มิได้เป็นผู้เช่าที่ดินอันเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ให้จำเลยเช่า ศาลฎีกาเห็นว่า ห้องแถวที่นายลิ่มจั๊วปลูก ยังเป็นของนายลิ่มจั๊วเมื่อนายลิ่มจั๊วเลิกเช่าโดยโอนสิทธิการเช่าและโอนกันต่อไปจนถึงจำเลย สภาพของห้องแถวเป็นของผู้เช่าเดิมอย่างไรตามสัญญา จากอยู่ในสิทธิของผู้เช่าที่รับโอนสิทธิต่อมาในสภาพเดียวกัน และการเช่าช่วงที่โจทก์อนุญาตไว้ในสัญญา ก็หมายความถึงการเช่าช่วงทรัพย์สินที่เช่าหรือที่ดินนั่งเอง ผู้ร้อง ๑๕ คนมิใช่ผู้เช่าช่วงที่ดินของโจทก์ จึงได้ชื่อว่าเป็นบริวารของจำเลย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น