โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๓๗๑, ๙๑ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๘๐ ลงโทษจำคุก ๑๐ ปี และผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๗๑ ลงโทษปรับ ๑๐๐ บาท รวมจำคุก ๑๐ ปี ปรับ ๑๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ริบมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายกับพวกรวมทั้งจำเลยไปรับจ้างตัดไม้ที่จังหวัดสุโขทัย แต่จำเลยกับพวกกลับมาก่อน ต่อมาเมื่อผู้เสียหายกับพวกกลับมาที่จังหวัดแพร่จำเลยกับพวกจึงไปขอส่วนแบ่งเงินค่าจ้างจากผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับพวกยอมออกเงินที่ได้รับมาแบ่งให้ แต่ก็ไม่พอใจเนื่องจากจำเลยกลับมาก่อน ในวันเดียวกันผู้เสียหายกับพวกดื่มสุราแล้วจะไปเที่ยวสาว เมื่อรู้ว่าจำเลยเล่นไพ่อยู่กลางทุ่งนา ผู้เสียหายกับพวกก็พากันไปที่จำเลยเล่นไพ่โดยมีเจตนาที่จะไปหาเรื่องจำเลยก่อน เมื่อไปถึงผู้เสียหายก็เข้าไปชกจำเลยก่อน ๒ ที โดยที่จำเลยมิได้สมัครใจที่จะวิวาทด้วย จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้เสียหาย ๑ ที หลังจากถูกชกแล้ว เห็นว่า การที่ผู้เสียหายชกจำเลยไปแล้วไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ดังนั้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายจึงผ่านพ้นไปแล้วไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันสิทธิของตนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘ แต่การที่ผู้เสียหายเข้าไปชกต่อยจำเลยขณะที่เล่นไพ่อยู่ โดยที่จำเลยมิได้สมัครใจจะวิวาทกับผู้เสียหายมาก่อนเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยแทงผู้เสียหายทันทีหลังจากถูกชกต่อย จึงเป็นการกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ซึ่งเป็นการกระทำด้วยเหตุบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๒
ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบมานั้นได้ความว่า ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกัน ถึงแม้ว่ามีดของกลางจะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงอวัยวะส่วนที่สำคัญก็ตาม แต่จำเลยก็แทงไปทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะกระทำได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ เมื่อพิจารณาถึงมูลกรณีก่อนเกิดเหตุและลักษณะของการกระทำในขณะเกิดเหตุแล้ว เห็นได้ว่า จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น แต่เมื่อการกระทำของจำเลยมีผลทำให้ผู้เสียหายต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ๑๕ วันและมานอนรักษาที่บ้านอีก ๑๕ วัน จึงทำงานได้นั้น ถือว่าผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันเป็นอันตรายสาหัสตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗(๘)จำเลยต้องรับผิดตามผลที่เกิดขึ้นจากการทำร้ายตามบทกฎหมายดังกล่าว
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๗ ประกอบมาตรา ๗๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.