โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 28, 31, 61, 69, 70, 73, 75, 76 พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34 โดยวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับคดีนี้ บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษเข้ากับคดีนี้ ให้วิดีโอซีดีและซีดีของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ และจ่ายเงินค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเคยกระทำความผิดและต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจริง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิด ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 (ที่ถูก 31 (1)), 70 วรรคสอง พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 34 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 31 (ที่ถูก 31 (1)), 70 วรรคสอง ให้จำคุก 1 ปี และปรับ 270,000 บาท กระทงหนึ่ง จำเลยเคยต้องโทษคดีอื่นมาแล้วฐานกระทำความผิดตาม พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ้นโทษยังไม่ครบห้าปี มากระทำผิดในคดีนี้อีก ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้ จึงจำคุกจำเลย 2 ปี ปรับ 540,000 บาท ความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 34 ให้ปรับ 20,000 บาท อีกกระทงหนึ่ง รวมจำคุก 1 ปี (ที่ถูก 2 ปี) และปรับ 560,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ 280,000 เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวต่อไป โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ของกลางให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ จ่ายค่าปรับเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของค่าปรับตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 แก่เจ้าของลิขสิทธิ์ เนื่องจากคดีนี้ไม่ได้ลงโทษจำคุกจำเลยจึงไม่บวกโทษให้
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ขณะจำเลยกระทำผิดคดีนี้อาญาหมายเลขแดงที่ อ.1400/2543 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยัง ไม่ถึงที่สุด จึงลงโทษจำเลยเป็นสองเท่าไม่ได้นั้น เห็นว่า การระวางโทษเป็นสองเท่าตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 73 จะต้องปรากฏว่าบุคคลผู้นั้นได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ และพ้นโทษคดีก่อนมาแล้วยังไม่ครบห้าปีมากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวอีก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าขณะผู้นั้นกระทำความผิดในคดีหลังคดีก่อนจะต้องถึงที่สุดไปแล้ว จึงจะระวางโทษในคดีหลังเป็นสองเท่าได้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีก่อนศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ แต่โทษจำคุกให้รอการ ลงโทษไว้ 2 ปี จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยมากระทำความผิดคดีนี้ซ้ำอีก อันเป็นการกระทำความผิดในขณะที่คดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด จึงระวางโทษจำเลยในคดีนี้เป็นสองเท่าไม่ได้ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลดโทษปรับนั้น เห็นว่า ของกลางมีจำนวนไม่มากและสถานที่ประกอบกิจการเป็นเพียงแผงลอยเล็ก ๆ ไม่มีเลขที่ในตลาดคลองถมใหม่ แม้จำเลยเคยกระทำความผิดมาแล้ว ไม่เข็ดหลาบก็จริง แต่การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยมานั้นหนักเกินไป ยังไม่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี จึงสมควรแก้ไขให้เหมาะสม
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน และปรับ 100,000 บาท ความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 ปรับ 10,000 บาท รวมจำคุก 6 เดือน และปรับ 110,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 55,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง