โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 279, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 279 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาตน (ที่ถูก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90) จำคุกกระทงละ 10 ปี รวม 3 กระทง จำคุก 30 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า การสอบสวนคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า นายพิภพและนางฉลวยไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เสียหาย จึงไม่อาจมอบอำนาจให้มูลนิธิคุ้มครองเด็กร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้ การสอบสวนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง และกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก อันเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน เมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ผู้เสียหายสามารถกล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีบุคคลรู้ตัวหรือไม่ก็ดีได้กระทำความผิดขึ้นและเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดได้ ดังนั้น นายเตชาติ์ มีชัย เจ้าหน้าที่มูลนิธิคุ้มครองเด็กจึงสามารถกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยกระทำความผิดต่อผู้เสียหายได้โดยไม่จำต้องอาศัยการมอบอำนาจจากนายพิภพและนางฉลวยแต่อย่างใด พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจทำการสอบสวนคดีได้ การสอบสวนชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า จำเลยกระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า เมื่อประมาณกลางเดือนตุลาคม 2547 ขณะที่ผู้เสียหายอยู่บ้านกับจำเลยสองคน จำเลยเรียกผู้เสียหายเข้าไปในห้องนอนของจำเลยแล้วเปิดวีดีโอภาพยนตร์ลามกซึ่งมีภาพผู้ชายกับผู้หญิงร่วมเพศกันให้ผู้เสียหายดู และบอกให้ผู้เสียหายทำเหมือนกับในภาพยนตร์แล้วจะให้เงิน 5 บาท จำเลยให้ผู้เสียหายนั่งบนเตียงแล้วถอดเสื้อกับกางเกงชั้นนอกและชั้นในของผู้เสียหาย แล้วถอดกางเกงของตนเองออก จำเลยให้ผู้เสียหายใช้มือจับอวัยวะเพศของจำเลยจนแข็งตัว จากนั้นจำเลยจับผู้เสียหายนอนบนเตียงแล้วเอาอวัยวะเพศของตนสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ผู้เสียหายร้องไห้เพราะเจ็บและบอกให้จำเลยหยุด แต่จำเลยไม่ยอมหยุดยังคงสอดใส่อวัยวะเพศของตนเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย สักครู่หนึ่งจึงถอดออกมา ผู้เสียหายเห็นมีเลือดไหลออกมาจากอวัยวะเพศของตน จำเลยบอกให้ผู้เสียหายเข้าไปล้างในห้องน้ำ ขณะล้างอวัยวะเพศผู้เสียหายรู้สึกแสบและเห็นเลือดไหลออกมาจากอวัยวะเพศ เมื่อผู้เสียหายออกจากห้องน้ำ จำเลยห้ามไม่ให้ผู้เสียหายบอกนางฉลวยมิฉะนั้นจะถูกตี ผู้เสียหายจึงไม่กล้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฉลวยฟัง ต่อมาประมาณปลายเดือนตุลาคม 2547 จำเลยเรียกผู้เสียหายเข้าไปในห้องนอนแล้วเปิดภาพยนตร์ลามกให้ผู้เสียหายดูและกระทำชำเราผู้เสียหายอีก หลังจากนั้นจำเลยยังกระทำชำเราผู้เสียหายอีกประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งสุดท้ายประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2548 จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายเหมือนครั้งก่อน ๆ โดยนำอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เห็นว่า แม้คดีนี้เหตุเกิดขณะผู้เสียหายอายุเพียง 7 ปีเศษ และเบิกความขณะอายุ 9 ปีเศษก็ตาม แต่ผู้เสียหายเบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างสมเหตุผลและมีรายละเอียดชัดแจ้งเกินกว่าที่ผู้เสียหายจะสามารถแต่งเรื่องขึ้นได้เอง อีกทั้งจำเลยเป็นปู่เลี้ยงได้เลี้ยงดูผู้เสียหายมาตั้งแต่อายุ 2 ปี หากไม่ใช่เรื่องจริงแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่ผู้เสียหายจะต้องเบิกความปรักปรำจำเลยซึ่งเป็นผู้มีพระคุณให้ต้องรับโทษ เชื่อว่า ผู้เสียหายเบิกความตามความเป็นจริง นอกจากนี้โจทก์ยังมีนางอุบลรัตน์นางสุเทพี นายเตชาติ์และพันตำรวจตรีวิศิษฎ์ ท่านมุข เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า นางอุบลรัตน์และนางสุเทพีซึ่งเป็นครูประจำชั้นและอดีตครูประจำชั้นของผู้เสียหายเห็นผู้เสียหายขาดเรียนผิดปกติจึงสอบถามผู้เสียหายจนได้ความว่าผู้เสียหายถูกจำเลยซึ่งเป็นปู่เลี้ยงกระทำชำเรา นางสุเทพีจึงโทรศัพท์ปรึกษานายเตชาติ์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิคุ้มครองเด็ก นายเตชาติ์พาผู้เสียหายไปอยู่ที่มูลนิธิคุ้มครองเด็กและสอบถามข้อเท็จจริงจากผู้เสียหายจนเชื่อว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายจริงแล้วจึงแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลย พันตำรวจตรีวิศิษฎ์ พนักงานสอบสวนได้ส่งตัวผู้เสียหายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเสนา และนางสาววิภาวี ตีรณวัฒนากุล แพทย์ตรวจร่างกายผู้เสียหายแล้ว พบว่าเยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายมีรอยฉีกขาดเก่า ไม่พบตกขาวผิดปกติ พบช่องคลอดยืดขยายเป็นโพรง โดยมีความเห็นว่าผู้เสียหายเคยผ่านการร่วมประเวณีมาแล้วตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.8 พยานโจทก์ทั้งสี่ล้วนไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ต้องระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ เชื่อว่า พยานโจทก์ทั้งสี่เบิกความตามความเป็นจริง ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายเบิกความแตกต่างจากคำให้การในชั้นสอบสวนโดยผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหาย จำเลย และนางฉลวยอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน แต่ผู้เสียหายให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าอยู่บ้านคนละหลังนั้น เห็นว่า ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดเล็กน้อย ไม่ทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายลดน้ำหนักลง ส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า นายเตชาติ์ นางอุบลรัตน์ และนางสุเทพี เบิกความแตกต่างเป็นพิรุธเกี่ยวกับเวลาที่จำเลยเริ่มกระทำความผิด วิธีการล่อลวง และสถานที่กระทำชำเรา พยานโจทก์ทั้งสามมีเจตนากลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยนั้น เห็นว่า แม้คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามจะมีข้อแตกต่างดังกล่าวอยู่บ้างก็ตาม แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดเล็กน้อย ประกอบกับนายเตชาติ์เป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิคุ้มครองเด็ก นางอุบลรัตน์และนางสุเทพีรับราชการเป็นครู เชื่อว่า พยานโจทก์ทั้งสามต่างทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจและไม่มีเจตนากลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย โดยก่อนจะแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลย พยานโจทก์ทั้งสามก็ได้พิจารณาและกลั่นกรองข้อเท็จจริงจากผู้เสียหายจนเชื่อว่าเป็นความจริงแล้วจึงค่อยแจ้งความ อีกทั้งในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนยังสอบคำให้การผู้เสียหายต่อหน้าพนักงานอัยการ นักสังคมสงเคราะห์ และนายเตชาติ์อีกครั้งหนึ่งด้วย ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.8 ที่นางสาววิภาวีแพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เสียหายรายงานผลการตรวจร่างกายผู้เสียหายว่าพบเยื่อพรหมจารีมีรอยฉีกขาดเก่าและช่องคลอดยืดขยายเป็นโพรงแสดงว่าผู้เสียหายเคยผ่านการร่วมประเวณีมาแล้ว แต่หลักฐานดังกล่าวไม่อาจยืนยันได้ว่าจำเลยเป็นคนกระทำชำเราผู้เสียหายนั้น เห็นว่า หลักฐานดังกล่าวเพียงแต่แสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายเคยผ่านการร่วมประเวณีมาแล้วเท่านั้น ศาลไม่ได้รับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวแล้วเชื่อว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำชำเราผู้เสียหาย แต่ศาลได้พิจารณาคำเบิกความของผู้เสียหาย นางอุบลรัตน์ นางสุเทพี และนายเตชาติ์เป็นสำคัญ ซึ่งเมื่อพิจารณาคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวประกอบกับผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์แล้ว ฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำชำเราผู้เสียหายจริง สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว ผู้เสียหายได้เล่าเหตุการณ์ให้นางฉลวยฟังใหม่ว่า จำเลยไม่ได้กระทำชำเราผู้เสียหาย ผู้เสียหายสับสนคำถามของครูประจำชั้นและถูกข่มขู่ โดยผู้เสียหายเขียนบันทึกเล่าเหตุการณ์ตามเอกสารแนบท้ายฎีกาหมายเลข 2 และหมายเลข 3 ความจริงแล้วจำเลยไม่ได้กระทำชำเราผู้เสียหายนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายกระทำอนาจารและกระทำชำเราผู้เสียหาย การที่จำเลยนำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดโดยมีนางฉลวยและนายพิภพเป็นพยานเบิกความสนับสนุนนั้น เห็นว่า นางฉลวยเป็นภริยาของจำเลยและนายพิภพเป็นบุตรเลี้ยงของจำเลยจึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจำเลยและย่อมเบิกความช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิด จึงมีน้ำหนักน้อยในการรับฟัง พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน