โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทมา 20 ปีแล้ว โดยรับมรดกมาจากบิดามารดา ต่อมาโจทก์ยื่นเรื่องราวขอรับรองการทำประโยชน์ที่นาดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 3 คัดค้านว่าที่นาบางส่วนเป็นของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 ได้ทำการสอบสวนแล้วให้โจทก์นำคดีมาฟ้อง จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นของโรงเรียนวัดบ้านสะแกโพรง (ปัจจุบันคือโรงเรียนสะแกโพรงอนุสรณ์) ซึ่งเป็นโรงเรียนประชาบาลสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ได้มาโดยนายพัลลภครูใหญ่โรงเรียนวัดบ้านสะแกโพรงจับจองไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2496 และได้แจ้งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2498
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติรับฟังได้ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2496นายพัลลภ ชำรัมย์ ครูใหญ่โรงเรียนสะแกโพรงอนุสรณ์ ได้จับจองที่พิพาทเนื้อที่ 12 ไร่ และได้แจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค.1 ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในปีพ.ศ. 2498 ตามเอกสารหมาย ล.2 และอาณาเขตตาม ส.ค.1 ดังกล่าวตรงกันกับอาณาเขตตามแผนที่พิพาท โจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทภายหลังที่นายพัลลภ ชำรัมย์ ได้จับจองและครอบครองอยู่ก่อนตลอดมาจนบัดนี้ปัญหามีว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่พิพาทหรือไม่ ปรากฏว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งนายพัลลภ ชำรัมย์ ครูใหญ่โรงเรียนสะแกโพรงอนุสรณ์เป็นผู้จับจองไว้เพื่อใช้ในกิจการของโรงเรียน ดั่งจะเห็นได้จากการแจ้งการครอบครองก็ได้แจ้งในฐานะแทนโรงเรียนและแจ้งสภาพที่ดินว่าใช้สำหรับทำสวนของโรงเรียน แม้โรงเรียนสะแกโพรงอนุสรณ์จะไม่ใช่นิติบุคคลตามกฎหมาย แต่ได้ความว่า โรงเรียนสะแกโพรงอนุสรณ์เป็นโรงเรียนประชาบาลที่นายอำเภอบุรีรัมย์ได้ตั้งขึ้น จึงเป็นส่วนราชการของรัฐ เมื่อนายพัลลภ ชำรัมย์ ครูใหญ่ได้จับจองและเข้าครอบครองเพื่อกิจการของโรงเรียนในปี พ.ศ. 2496 แล้วในปีนั้นเองก็ได้ขึ้นทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้ เป็นทรัพย์สินของโรงเรียน โดยระบุว่าทำสวนครัวและปลูกบ้านพักครู โดยมีศึกษาธิการอำเภอเมืองบุรีรัมย์ขณะนั้นคือนายพิน วงษ์สวัสดิ์ รับรองว่าเป็นทรัพย์สินของโรงเรียน ปรากฏตามหลักฐานเอกสารหมาย ล.1 เป็นการแสดงว่าทางราชการอำเภอได้รับเอาที่พิพาทมาเป็นทรัพย์สินของทางราชการไว้แล้วตั้งแต่นั้นมา ที่พิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 เป็นต้นมา ต่อมาโรงเรียนสะแกโพรงอนุสรณ์ซึ่งเป็นโรงเรียนประชาบาลที่นายอำเภอบุรีรัมย์จัดตั้งขึ้นได้โอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัติโอนโรงเรียนประถมศึกษาบางประเภทไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2509 มาตรา 3 และตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้โอนบรรดากิจการทรัพย์สินไปเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนมาด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 มาตรา 5 ซึ่งได้รับโอนกิจการและทรัพย์สินของโรงเรียนสะแกโพรงอนุสรณ์มาดังกล่าว ดังนั้นที่พิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินของโรงเรียนสะแกโพรงอนุสรณ์จึงถือว่าเป็นทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์จำเลยที่ 3 ด้วย เมื่อฟังว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 โจทก์เพิ่งเข้าครอบครองในภายหลัง จึงไม่อาจจะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1306 โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่พิพาท ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่านายพัลลภ ชำรัมย์ จับจองที่พิพาทและแจ้งการครอบครองไว้เป็นการส่วนตัว โจทก์เข้าทำกินในที่พิพาทโดยพลการ และได้สิทธิครอบครองแล้วนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์