โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 33, 80,
288, 371 ริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาพาอาวุธไปในเมือง
หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร
ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้การปฏิเสธ
แต่เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จจำเลยขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 72 และมาตรา 371
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ จำคุก 7 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง
หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 1,000 บาท ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะจำเลยให้การรับสารภาพภายหลังสืบพยานเสร็จแล้ว
เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี 8
เดือน ความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร
จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ
ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 500 บาท รวมจำคุก 4 ปี 8
เดือน และปรับ 500 บาท
โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยมีกำหนด 2 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3
เดือนต่อครั้ง ให้ทำงานบริการสังคมและสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนด 24 ชั่วโมง
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 29, 30
ริบอาวุธมีดของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค
4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80
ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ
ภายหลังสืบพยานเสร็จแล้ว เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ
ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง
หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรแล้ว เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน และปรับ 500
บาท ไม่รอการลงโทษจำคุก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า
ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ประมาณ 4 ปี นายบรรเลง
ผู้เสียหายเคยถูกดำเนินคดีข้อหากระทำอนาจารภริยาจำเลย ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง
จำเลยใช้มีดเป็นอาวุธปาดที่ลำคอผู้เสียหายเป็นแผลยาวประมาณ 6 เซนติเมตร ลึก 2 ถึง
3 มิลลิเมตร หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานยึดมีดที่จำเลยใช้ก่อเหตุเป็นของกลาง
สำหรับความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร
ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า
การกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่
เห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะมิได้บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า
หน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาเป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายใดก็ตาม
แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 บัญญัติว่า
วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ
ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้
และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
84/1 บัญญัติว่า คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตน
ให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น...
ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิด ถ้าจำเลยให้การปฏิเสธ
ภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่โจทก์ แต่คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ
อันเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์
แต่อ้างเหตุลดหย่อนโทษว่ากระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ภาระการพิสูจน์ในประเด็นดังกล่าวย่อมตกแก่จำเลยที่จะต้องนำสืบให้เห็นว่า
ผู้เสียหายข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมอย่างไร
อันจะทำให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของจำเลยคงได้ความแต่เพียงว่า
ขณะจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านบริเวณที่เกิดเหตุได้ยินเสียงคนร้องเรียก
ซึ่งจำเลยคิดว่าคือผู้เสียหายเรียกจำเลยว่า มึงคือชั่วแท้
แต่จนกระทั่งปัจจุบันจำเลยยังไม่ทราบว่า ใครเป็นคนร้องเรียกจำเลยดังกล่าว และได้ความจากนายสีไสย ประจักษ์พยานอีกปากหนึ่งของจำเลย
เบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า เมื่อพยานเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา
พยานตะโกนเรียกจำเลย โดยผู้เสียหายไม่ได้ตะโกนเรียกเพราะผู้เสียหายไม่น่าจะเห็นจำเลย
เนื่องจากผู้เสียหายนั่งหันหลังให้กับถนน และในวันเกิดเหตุพยานไม่ได้ยินว่ามีใครตะโกนเรียกจำเลยในลักษณะด่า
คงมีเพียงพยานตะโกนเรียกจำเลยเพื่อชวนดื่มสุราเท่านั้น
อันทำให้ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวของจำเลยถูกหักล้างโดยพยานจำเลยเอง
พยานหลักฐานจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อยและไม่เพียงพอให้รับฟังว่า
ผู้เสียหายร้องด่าจำเลยว่า มึงคือชั่วแท้ หรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า
พยานหลักฐานจำเลยฟังไม่ได้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมายนั้น
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปมีว่า
มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่
เห็นว่า คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วางโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นในอัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
และยังลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
78 ให้อีกหนึ่งในสาม อันเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว
ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะวางโทษจำเลยให้เบากว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 กำหนดอีก
และเนื่องจากความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ศาลลงโทษจำคุกเกินห้าปี จึงไม่อาจรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาลงโทษจำเลย
โดยไม่รอการลงโทษจำคุกมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน