โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2520 จำเลยกู้เงินโจทก์ไป 12,000 บาทขอให้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าไม่เคยทำสัญญากู้เงินโจทก์ ลายมือชื่อในช่องผู้กู้ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 16,500 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีในเงินต้น 12,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 600 บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ โดยเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยผู้อุทธรณ์จะต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว แต่ตามพฤติการณ์เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยมิได้จงใจไม่ปฏิบัติ ดังนั้น ก่อนอ่านคำสั่งคำร้อง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้จำเลยนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้เสียก่อน
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ ขอทุเลาการบังคับการนำเงินมาชำระตามคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยผู้อุทธรณ์จะต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น จะขอทุเลาการบังคับไม่ได้
จำเลยฎีกาขอทุเลาการบังคับ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่า จะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษา ถ้าจะไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา ผู้อุทธรณ์ก็ต้องหาประกันให้ไว้ต่อศาล จะนำวิธีการขอทุเลาการบังคับดังเช่นการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษามาใช้บังคับหาได้ไม่ คำสั่งศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว
พิพากษายืน