โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2539 จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายลดตั๋วเงินกับโจทก์ในวงเงิน 4,000,000 บาท ยอมให้โจทก์หักส่วนลดในอัตราร้อยละ 25 ต่อปี และหากโจทก์ไม่สามารถรับเงินตามตั๋วเงิน ยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 25 ต่อปี นับแต่วันที่ตั๋วเงินแต่ละฉบับถึงกำหนดชำระ ต่อมาจำเลยได้นำเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาบางกระบือ ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2540 จำนวนเงิน 4,000,000 บาทมาขายลดให้แก่โจทก์ และได้รับเงินตามเช็คโดยโจทก์หักส่วนลดไว้ตามสัญญาแล้ว ครั้นเช็คถึงกำหนด โจทก์นำไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 4,750,684.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 25 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 4,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดี จำเลยไม่เคยทำสัญญาซื้อขายลดตั๋วเงินกับโจทก์และไม่เคยนำเช็คตามที่โจทก์ฟ้องไปขายให้แก่โจทก์ ทั้งไม่เคยได้รับเงินจากโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 25 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 750,684.93 บาท ตามที่โจทก์ขอ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาซื้อขายลดตั๋วเงินเอกสารหมาย จ.6 โดยจำเลยนำเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) จำนวนเงิน 4,000,000 บาท มาขายลดให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์ได้นำเช็คฉบับดังกล่าวไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงฟ้องบังคับจำเลยให้รับผิดตามสัญญา จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาซื้อขายลดตั๋วเงินกับโจทก์ ทั้งไม่เคยนำเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ตามฟ้องมาขายลดให้แก่โจทก์ และไม่เคยได้รับเงินจำนวน 4,000,000 บาท คำให้การดังกล่าวเป็นเพียงปฏิเสธลอย ๆ ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าลายมือชื่อจำเลยในสัญญาซื้อขายลดตั๋วเงินและลายมือชื่อในเช็คตามเอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบว่าไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย หากจำเลยสืบพยานก็ต้องห้ามมิให้รับฟัง เพราะคำให้การของจำเลยไม่มีรายละเอียดแห่งการปฏิเสธ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง"
พิพากษายืน