โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นข้าราชการครู ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสายปัญญา ซึ่งเป็นโรงเรียนในสังกัดของโจทก์ จำเลยจงใจเบียดบังเอาไป หรือมิฉะนั้นจำเลยได้ประมาทเลินเล่อไม่ควบคุมดูแลและไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ เป็นเหตุให้เงินบำรุงการศึกษาและเงินบริจาคของโรงเรียนสายปัญญาที่อยู่ในควบคุมดูแลของจำเลยขาดหายไปจำนวน 102,250.06 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระคืนพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า มิได้เบียดบังเอาเงินตามฟ้องมาเป็นของจำเลยและมิได้ประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามระเบียบราชการ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ว่าจะต้องให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงิน 80,435.56 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จะได้วินิจฉัยฎีกาของจำเลยก่อนและเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความเป็นประเด็นแรก ประเด็นนี้โจทก์นำสืบว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ เพราะนายเอกวิทย์ ณ ถลาง อธิบดีกรมสามัญศึกษารับทราบผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งวันที่ 28มีนาคม 2526 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 6 มีนาคม 2527 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้น โจทก์นำสืบประเด็นข้อนี้โดยมีนายทรงชัย สายหงษ์ และนายมานพ แสงทวี ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนิติกรของโจทก์เบิกความเป็นพยานความว่า มูลเหตุแห่งคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อมีผู้ร้องเรียนว่าจำเลยใช้เงินของโรงเรียนสายปัญญาไปในทางที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบ โจทก์สืบสวนข้อเท็จจริงแล้วปรากฏมีมูล โจทก์จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้น คณะกรรมการสอบสวนแล้ว เห็นว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบแต่ไม่แน่ชัดว่าทุจริตต่อราชการ โจทก์ได้รายงานทางวินัยให้คณะกรรมการครูทราบแล้ว คณะกรรมการครูเห็นสมควรลงโทษลดขึ้นเงินเดือน 1 ขั้นซึ่งโจทก์โดยนายเอกวิทย์ ณ ถลาง ได้สั่งลงโทษจำเลยแล้ว ตามคำสั่งกรมสามัญศึกษาที่ 716/2526 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2526 โจทก์จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่ง โดยนายทรงชัยได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการคนหนึ่งด้วย คณะกรรมการสอบสวนได้รายงานการสอบสวนต่อโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.18 สรุปผลการสอบสวนให้จำเลยต้องรับผิดในทางแพ่งมียอดเงินจำนวน 50,000 บาทเศษ แต่ไม่มีรายละเอียดบ่งบอกว่าได้จ่ายรายการอะไรไปบ้าง โจทก์จึงสั่งให้คณะกรรมการทำการสอบสวนเรื่องนี้เพิ่มเติม เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้สอบสวนเพิ่มเติมแล้วได้รายงานต่อโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.19 โดยผ่านกองการเจ้าหน้าที่ นายมานพพยานโจทก์ซึ่งเป็นนิติกรได้สรุปความเห็นเสนอต่ออธิบดีโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.20 อธิบดีโจทก์ทราบผลสรุปเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2526 ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากประกอบกับเอกสารหมาย จ.19 ซึ่งมีข้อความตอนต้นเป็นใจความว่า ที่โจทก์ได้มีคำสั่งที่ ศธ.0802/901 ลงวันที่31 พฤษภาคม 2525 ให้คณะกรรมการสอบสวนสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นว่า เงินกำไรจากการขายสมุด ขนม และน้ำหวาน ซึ่งจำเลยนำส่งเข้าเป็นเงินสวัสดิการครูโรงเรียนสายปัญญา รวมทั้งสิ้น 143,628 บาท และทางโรงเรียนได้นำไปใช้จ่ายในกิจการโรงเรียนเป็นเงิน 57,483 บาทนั้น เป็นรายการที่สามารถเบิกจ่ายจากเงินบำรุงการศึกษาได้เพียงใดคณะกรรมการสอบสวนได้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมแล้วได้รายงานผลต่อโจทก์เห็นว่า การที่โจทก์ได้มีคำสั่งให้คณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวให้ชัดเจน แสดงว่าโจทก์ได้ทราบรายงานผลการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งตามเอกสารหมาย จ.18 ฉบับลงวันที่ 4 มกราคม 2525 แล้วว่าจำเลยเป็นผู้พึงใช้ค่าสินไหมทดแทนแม้จะไม่ปรากฏความแน่ชัดว่าอธิบดีโจทก์ได้ลงนามรับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อใด ก็ฟังได้ว่าต้องเป็นช่วงเวลาก่อนหรืออย่างช้าที่สุดในวันที่ออกคำสั่งที่ ศธ.0802/901 คือวันที่ 31 พฤษภาคม 2525นั้นเอง การที่โจทก์มีคำสั่งให้คณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำนวนเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดให้แน่นอนนั้นไม่ใช่เหตุที่จะอ้างว่ายังไม่รู้ตัวผู้รับผิด มิฉะนั้นอายุความ1 ปี ที่กฎหมายกำหนดไว้ก็จะขยายออกไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์ ดังนั้นเมื่อนับจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2525ถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้คือวันที่ 6 มีนาคม 2527 จึงพ้นกำหนดเวลา1 ปีแล้ว คดีของโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ฟ้องจำเลยไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยข้ออื่นและฎีกาของโจทก์ต่อไป
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง.