โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต และรับว่าใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจริง แต่อ้างเหตุบันดาลโทสะ
ระหว่างพิจารณานายวุฒิชัย ส่วนพรไพศาล ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูกเฉพาะความผิดฐานพยายามฆ่า)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน รวมสองกระทง คงจำคุก 8 ปี 2 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยได้พาอาวุธปืนสั้นรีวอลเวอร์ขนาด .38 หมายเลขทะเบียน 260483 ของจำเลยไปในเมืองและหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตและจำเลยได้ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงโจทก์ร่วมหลายนัด ถูกบริเวณช่องท้อง ไหล่ซ้าย ทรวงอกด้านซ้าย ต้นขาซ้ายและขาขวา ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ เอกสารหมาย ป.จ.4 โจทก์ร่วมไม่ถึงแก่ความตายเพราะญาติและภรรยาโจทก์ร่วมนำส่งแพทย์รักษาได้ทันท่วงที โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสต้องทุพพลภาพป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจไม่ได้เกิน 20 วัน ร่างกายส่วนล่างเป็นอัมพาตไม่สามารถรับรู้ความรู้สึก คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมเพราะบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมโดยจำเลยมิได้ถามค้านและนำสืบโต้แย้งว่า เหตุที่เกิดสืบเนื่องจากนางป่วนมารดาจำเลยและเป็นยายของโจทก์ร่วม มีที่ดิน 7 แปลง มีบุตร 6 คน ได้แบ่งที่ดินให้บุตรคนละแปลงและเหลือเป็นของตน 1 แปลง ต่อมานางป่วนยกที่ดินแปลงสุดท้ายนี้ให้แก่โจทก์ร่วมโดยเสน่หา จำเลยซึ่งเป็นพี่ชายของมารดาโจทก์ร่วมไม่พอใจประสงค์ให้โจทก์ร่วมโอนที่ดินคืนแก่นางป่วนเพื่อนำมาแบ่งกัน แต่โจทก์ร่วมไม่ยินยอม โดยจำเลยฎีกาอ้างว่า จำเลยได้ขอให้โจทก์ร่วมคืนที่ดินเพื่อให้พี่น้องคนอื่น ๆ ได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรมบ้าง แต่กลับถูกโจทก์ร่วมพูดท้าทายให้ไปฟ้องร้อง ซึ่งจำเลยก็ทราบดีว่าในทางกฎหมายไม่อาจบังคับโจทก์ร่วมได้ โจทก์ร่วมไม่ยินยอมและได้พูดจาถากถางจำเลยว่า อยากโง่เซ่อกันเอง ถ้อยคำดังกล่าวของโจทก์ร่วมข่มเหงจิตใจจำเลยอย่างร้ายแรง ซึ่งเกิดจากข้อเท็จจริงอันไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะอ้างว่า จำเลยมีบ้านอยู่ใกล้บ้านนางป่วนและนางป่วนมีอายุ 90 ปี จำเลยผู้เดียวที่ดูแลใกล้ชิดนางป่วนมารดาตลอดมา ส่วนโจทก์ร่วมเป็นหลานมีครอบครัวอยู่ต่างจังหวัดไม่ได้ช่วยดูแลนางป่วนเลยก็ตาม เป็นสิทธิของนางป่วนที่จะยกทรัพย์สมบัติของตนให้แก่ลูกหลานคนใดโดยเสน่หาเป็นพิเศษก็ได้ และเป็นความชอบธรรมของโจทก์ร่วมที่จะรับไว้แล้วไม่ยอมสละทรัพย์ที่ตนได้มานั้น ข้อเท็จจริงดังกล่าวหาไม่เป็นธรรมแก่ผู้ใดหรือจำเลยไม่ ทั้งถ้อยคำที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ร่วมกล่าวถากถางจำเลยจนจำเลยเกิดบันดาลโทสะ จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นพิจารณา โดยในชั้นสอบสวนจำลยให้การเพียงว่าขอให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม ส่วนรายละเอียดไม่ขอให้การใด ๆ จะขอให้การในชั้นพิจารณา และในชั้นพิจารณาจำเลยก็มิได้ถามค้านโจทก์ร่วมหรือประจักษ์พยานอื่นให้ปรากฏไว้ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่ามีเหตุดังกล่าว และแม้โจทก์ร่วมจะได้กล่าวตามที่จำเลยอ้างถ้อยคำดังกล่าวนั้นประกอบข้อเท็จริงที่โจทก์ร่วมไม่ยอมสละที่ดินที่รับโอนมาโดยชอบคืนแก่นางป่วนผู้ให้ หานับว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด ส่วนปัญหาว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า จำเลยเคยรับราชการทหารมาก่อนมีความชำนาญใช้อาวุธปืนดีกว่าบุคคลทั่ว ๆ ไป ในระยะห่างประมาณ 1 ถึง 3 เมตร หากจำเลยเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมแล้วย่อมบรรลุผลอย่างแน่นอน ขณะเกิดเหตุจำเลยยิงโจทก์ร่วมในลักษณะยิงกราดด้วยความบันดาลโทสะ มิได้ตั้งใจยิงโจทก์ร่วมให้ถึงแก่ความตายนั้น ปรากฏผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย ป.จ.4 ว่า โจทก์ร่วมมีบาดแผลทะลุที่ไหล่ซ้าย ทรวงอกซ้าย ต้นขาซ้ายและขาขวา มีเลือดออกในช่องอกช่องท้องกระดูกสันหลังแตกมีโลหะคล้ายกระสุนบริเวณหลัง 2 ลูก และได้ความจากนายปกรณ์ วิภูษณพันธุ์ แพทย์ผู้ตรวจรักษาว่า โจทก์ร่วมมีบาดแผลถูกยิงมีตกเลือดในทรวงอกและในช่องท้อง กระเพาะอาหาร กระบังลม ม้าม และตับฉีกขาด บาดแผลดังกล่าวเป็นบาดแผลสำคัญ หากโจทก์ร่วมมาให้รักษาไม่ทันอาจถึงแก่ความตายได้ เห็นว่า จำเลยเป็นผู้มีความคุ้นเคยและสันทัดจัดเจนการใช้อาวุธปืน ย่อมทราบอานุภาพความร้ายแรงของอาวุธนั้นว่าหากถูกอวัยวะสำคัญของสิ่งมีชีวิตอาจทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นเสียชีวิตได้ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมหลายนัดที่บริเวณท้องและทรวงอกซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญด้วยความโกรธที่จำเลยพูดกับโจทก์ร่วมแล้วโจทก์ร่วมมิได้ยินยอมด้วยตามความประสงค์ของจำเลย ย่อมแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วม ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกหรือลงโทษสถานเบานั้น ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นมีระวางโทษขั้นต่ำจำคุก 10 ปี ตามพฤติการณ์แห่งคดี ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำคุกจำเลย 12 ปี ลดโทษให้แล้ว คงจำคุก 8 ปี นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้วและโทษจำคุกในคดีนี้เกินกว่า 3 ปี กรณีจึงไม่อาจรอการลงโทษให้จำเลยได้ ฎีกาข้ออื่นนอกจากนี้ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรวินิจฉัยเพราะไม่อาจทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน