ได้ความว่าข้าหลวงประจำจังหวัดน่านได้ออกประกาศกำหนดท้องที่ในอำเภอบุญยืนรวม ๑๔ ตำบล เป็นท้องที่มีโรคระบาดดรินเดอร์เปสต์ ห้ามมิให้พาสัตว์ เข้าไปหรือพาออกจากขอบเขตต์ท้องที่ซึ่งมีโรคระบาดโดยมิได้รับอนุญาตจากสัตว์แพทย์ ตำบลทั้ง ๑๔ ตำบลนี้ มีอาณาเขตต์ติดต่อรวมเป็นผืนเดียวกันจำเลยทั้ง ๔ คนนี้ได้พาโคออกจากตำบลหนึ่งเข้าไปในอีกตำบลหนึ่งโดยตำบลที่จำเลยพาสัตว์เข้าไปนั้นเป็นตำบลที่อยู่ในประกาศของข้าหลวงประจำจังหวัดทั้งสิ้น โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ วินิจฉัยว่าตามประกาศของข้าหลวงประจำจังหวัดน่านไม่มีความจำกัดว่าตำบลอนึ่งเป็นขอบเขตต์หนึ่ง จึงแปลประกาศนั้นว่าทุก ๆ ตำบลติดต่อรวมกันเป็นขอบเขตต์หนึ่งเมื่อจำเลยไม่ได้พาโคเข้าหรือออกจากท้องที่อันประกาศเป็นขอบเขตต์นั้นจำเลยก็ไม่มีความผิด
ศาลฎีกาเห็นว่า พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์พาหนะมีความประสงค์จะมิให้โรคระบาดไปจึงกำหนดขอบเขตต์ไว้ ทั้งที่โดยจำนวนสัตว์พาหนะแต่ละท้องที่มากน้อยต่างกันบางท้องที่จำนวนสัตว์เป็นโรคน้อย ถ้าป้องกันสัตว์ที่เป็นโรคจากตำบลอื่นเข้าไปปะปนก็อาจระงับโรคมิให้แพร่หลายได้เพราะฉะนั้นจะถือว่าขอบเขตต์ติดต่อกันสัตว์ก็เป็นโรคเหมือนกันไม่ได้ เห็นว่าตามประกาศนั้นได้กำหนดท้องที่เป็นตำบลและมีเขตต์แต่ละตำบลจะเข้าออกหรือผ่านแต่ละตำบลก็เป็นการล่วงล้ำเขตต์เป็นผิดตาม ม.๑๖ พิพากษากลับศาลล่างทั้ง ๒ ให้ลงโทษปรับจำเลยมาตรา ๑๖ นั้น