โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 1 คน ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานทั่วไป โดยเรียกและรับเงินค่าบริการเป็นการตอบแทน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลางและโดยทุจริต จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันหลอกลวงนายสมบัติ จำปาทอง นายพรชัย จำปาทอง นายบัวลอง ราษีสวย นายสุริยาโชติทุม นายไมตรี จันทาคีรี ผู้เสียหายทั้งห้าและประชาชนทั่วไปด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยทั้งสองกับพวกสามารถหางานและจัดส่งผู้เสียหายทั้งห้าและผู้อื่นที่สนใจไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นความเท็จความจริงจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ และไม่สามารถที่จะส่งผู้เสียหายทั้งห้าและผู้อื่นไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้ โดยการหลอกลวงของจำเลยทั้งสองกับพวกดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายทั้งห้าหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงสมัครงานและชำระเงินค่าบริการจัดหางานส่วนหนึ่งให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวกไปเหตุทั้งหมดเกิดที่ตำบลโพธิ์ตาก กิ่งอำเภอโพธิ์ตาก จังหวัดหนองคายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343, 83, 91พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 4,30, 82, 91 ตรี และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือชดใช้เงิน 150,000บาท แก่ผู้เสียหายทั้งห้า
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 3 ปี ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงิน 150,000 บาทแก่ผู้เสียหายทั้งห้า นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับและไม่โต้แย้งกัน ฟังเป็นยุติว่านายสมบัติ จำปาทอง นายพรวิชัย จำปาทองนายบัวลอง ราษีสวย นายสุริยา โชติทุม และนายไมตรี จันทาคีรี ผู้เสียหายทั้งห้าเป็นคนกิ่งอำเภอโพธิ์ตาก จังหวัดหนองคาย อยู่หมู่บ้านเดียวกับจำเลยที่ 1 และภริยานายบัวลองเป็นญาติกับจำเลยที่ 1 นายสุนทร บุริพันธ์เป็นคนกรุงเทพมหานคร ไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้จัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ เพิ่งแต่งงานกับบุตรจำเลยที่ 1เมื่อเดือนกรกฎาคม 2540 ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2540 ขณะที่นายสุนทรไปพักอยู่ที่บ้านจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ไปพูดกับผู้เสียหายทั้งห้าและคนที่อยู่ในงานบุญกฐินที่บ้านนางมอน วิธี ในหมู่บ้านเดียวกันว่าใครอยากไปทำงานต่างประเทศให้ไปพบนายสุนทรบุตรเขยจำเลยที่ 1ที่บ้านจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายทั้งห้าและชาวบ้านอีกหลายคนสนใจจึงไปพบนายสุนทร นายสุนทรอ้างว่ามีงานก่อสร้างที่ประเทศญี่ปุ่นทำ ได้ค่าจ้างเดือนละ 70,000 บาท นายสุนทรสามารถจัดส่งไปทำงานดังกล่าวได้ แต่จะต้องเสียค่าบริการและค่าใช้จ่ายในการทำหนังสือเดินทางวีซ่า และตั๋วเครื่องบินคนละ 180,000 บาท แบ่งชำระเป็น 3 งวด งวดแรก30,000 บาท เป็นค่าทำหนังสือเดินทางและวีซ่า งวดที่สอง 30,000 บาทเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ส่วนที่เหลือนายสุนทรจะทยอยหักเอาจากค่าจ้างหลังจากได้ทำงานแล้ว โดยนายสุนทรได้นำหนังสือสัญญาจ้างแรงงานตามเอกสารหมาย จ.1 ออกมาให้ดู ผู้เสียหายทั้งห้าหลงเชื่อจึงชำระเงินให้นายสุนทรไป 3 ครั้ง ครั้งละ 10,000 บาท รวมเป็นเงินคนละ 30,000 บาทครั้งแรกผู้เสียหายทั้งห้านำเงินไปชำระให้นายสุนทรที่กรุงเทพมหานครครั้งที่สองและครั้งที่สามชำระที่บ้านจำเลยที่ 1 โดยก่อนชำระเงินครั้งที่สองจำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 ไปบอกผู้เสียหายทั้งห้านำเงินไปชำระให้นายสุนทร และผู้เสียหายทั้งห้าลังเลไม่กล้าชำระเงิน จำเลยที่ 1พูดว่า เงินแค่นี้นายสุนทรไม่โกง ถ้าจะโกงนายสุนทรโกงมากกว่านี้ผู้เสียหายทั้งห้าจึงได้ชำระเงินให้นายสุนทรไปและในที่สุดผู้เสียหายทั้งห้าไม่ได้ไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นตามที่นายสุนทรกล่าวอ้าง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับนายสุนทรหลอกลวงผู้เสียหายทั้งห้าตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยหรือไม่เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนชนบทประกอบอาชีพทำนา ถ้ามีบุตรหลานหรือญาติพี่น้องเป็นคนมีฐานะ มีความรู้ความสามารถหรือมีหน้าที่การงานดีย่อมจะทำให้จำเลยที่ 1 พลอยมีหน้ามีตา นายสุนทรเป็นคนกรุงเทพมหานครเพิ่งจะแต่งงานเป็นบุตรเขยของจำเลยที่ 1 ได้ 2 เดือนเศษ เมื่อนายสุนทรมาเยี่ยมและอ้างว่าสามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศได้ จำเลยที่ 1 ย่อมจะชื่นชมยินดีและอยากโอ้อวดให้บุคคลอื่นทราบ การที่จำเลยที่ 1 พูดเรื่องไปทำงานในต่างประเทศให้ผู้เสียหายทั้งห้าและบุคคลทั่ว ๆ ไปซึ่งอยู่ในงานบุญกฐินสถานที่ชุมนุมชน ว่าผู้ใดอยากไปทำงานต่างประเทศให้ไปพบนายสุนทรบุตรเขยที่บ้านจำเลยที่ 1 ก็เป็นถ้อยคำที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เพียงแต่ต้องการจะโอ้อวดให้คนอื่นรู้ว่านายสุนทรบุตรเขยจำเลยที่ 1 มีความรู้ความสามารถส่งคนไปทำงานในต่างประเทศได้เท่านั้น เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการติดต่อและประเทศที่จะส่งไปทำงาน ส่วนที่จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ไปบอกให้ผู้เสียหายทั้งห้านำเงินไปชำระแก่นายสุนทรในครั้งที่สอง และพูดขึ้นว่าเงินแค่นี้นายสุนทรไม่โกง ถ้าจะโกงนายสุนทรโกงมากกว่านี้ ก็ได้ความจากคำเบิกความของนายพรชัยผู้เสียหายคนหนึ่งว่าในหมู่บ้านผู้เสียหายทั้งห้านอกจากจำเลยทั้งสองแล้วนายสุนทรไม่รู้จักใครจึงติดต่อประสานกับผู้เสียหายทั้งห้าโดยโทรศัพท์ไปยังจำเลยทั้งสอง นายบัวลองนายไมตรีและนายสมบัติผู้เสียหายอีกสามคนยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า จำเลยที่ 1 อยากให้นายบัวลองไปทำงานต่างประเทศเพราะอยากให้นายบัวลองหมดหนี้หมดสิน นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และจะไปทำงานเช่นเดียวกับผู้เสียหายทั้งห้าก็ถูกนายสุนทรหลอกเอาเงินเช่นกัน โดยจำเลยที่ 1มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกและรับเงินจากผู้เสียหายตลอดจนไม่ทราบถึงขั้นตอนการติดต่อและประเทศที่จะส่งคนหางานไปทำงานการที่จำเลยที่ 1 ยอมให้นายสุนทรใช้บ้านของจำเลยที่ 1 เป็นสถานที่ติดต่อพูดคุยกับผู้เสียหายทั้งห้าซึ่งเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ข้อเท็จจริงเพียงนี้จึงไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับนายสุนทรหลอกลวงผู้เสียหายทั้งห้าดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4