โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้มีดแทงนายโล๊ะ 1 ทีเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บสาหัสโดยเจตนาจะฆ่าให้ตายและถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลนั้นเอง ขอให้ลงโทษ
ชั้นแรกจำเลยให้การรับว่าใช้มีดแทงจริงแต่ไม่มีเจตนาจะฆ่าให้ตาย ต่อมาปฏิเสธว่าถูกนายเบ็งกับพวกชกต่อยจำเลยหนีแล้วผู้ตายเข้าห้ามจึงถูกมีดไม่ทราบว่ามีดใคร
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 249 จำคุก 15 ปี ลดตาม พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2494 มาตรา 7 และกฎหมายอาญา มาตรา 55 จำคุก 5 ปี ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่าข้อ 1. การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการถูกยั่วโทษะตาม มาตรา 55 เพราะเป็นเรื่องวิวาทท้าทายกันก่อนซึ่งจะถือว่าถูกกดขี่ข่มเหงไม่ได้ ข้อ 2. เรื่องนี้จำเลยกระทำต่อผู้ตายหาใช่กระทำต่อนายเบ็งผู้กดขี่ข่มเหงจำเลยไม่ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 55
ศาลฎีกาปรึกษาแล้วคดีนี้ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาในข้อเท็จจริง คงฎีกาได้เฉพาะข้อกฎหมาย
สำหรับข้อแรกคดีนี้ศาลทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่านายเป็งเป็นผู้ก่อเหตุท้าทายจำเลยและชกต่อยจำเลย ๆ หลบหนีไปแล้วยังไล่ตามไปจะทำร้ายอีก หาได้ฟังว่าเป็นกรณีวิวาทกันไม่ สำหรับฎีกาข้อ 2. ศาลอุทธรณ์ก็ฟังว่าจำเลยมีเจตนาจะทำร้ายนายเป็งผู้กดขี่ข่มเหงจำเลย หากแต่พลั้งพลาดไปจึงไปถูกผู้ตายซึ่งเข้ามาห้าม เมื่อฟังข้อเท็จจริงดังนี้แล้วตามกฎหมายต้องถือเอาเจตนาของจำเลยเป็นเกณฑ์กล่าวคือหากจำเลยแทงถูกนายเป็งตามเจตนาจำเลยควรได้รับลดหย่อนโทษตามกฎหมายอย่างไรแล้ว การที่จำเลยกระทำโดยพลั้งพลาดแทงไปถูกผู้ตายเช่นนี้จำเลยก็ควรได้รับลดหย่อนโทษตามกฎหมายดุจจะกระทำแก่นายเป็งนั้น เมื่อศาลล่างฟังว่าจำเลยถูกนายเป็งกดขี่ข่มเหงร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมและจำเลยได้บันดาลโทสะกระทำขึ้นในขณะนั้น กรณีก็ต้องด้วยมาตรา 55 กฎหมายอาญา จึงพิพากษายืน