โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ซื้อสร้อยเพชรราคา 33,557 บาท และแหวนเพชรราคา 42,624 บาท ไปจากโจทก์ โดยตกลงว่าจะชำระราคาในวันที่ 15 ธันวาคม 2525 แต่ไม่ชำระ ขอให้จำเลยชำระเงิน97,492 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า แหวนเพชรที่โจทก์ฟ้องนั้นนางสาววัชรี ถีระรักษ์เป็นผู้รับมอบไปจากโจทก์ ไม่เกี่ยวกับจำเลย หนังสือแสดงการรับแหวนเพชรกับสร้อยเพชรและว่าจะชำระเงิน 86,171 บาท ในวันที่ 15ธันวาคม 2525 นั้น จำเลยทำขึ้นเพื่ออำพรางการที่นางสาววัชรีรับแหวนเพชรไปเมื่อต้นปี 2526 โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินค่าสร้อยเพชรและแหวนเพชรที่โจทก์ฟ้อง จำเลยได้มอบเช็ค 3 ฉบับรวมเป็นเงิน 126,000 บาท ให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้รับเงินตามเช็คทั้งสามฉบับนั้นไปแล้ว
จำเลยขอให้หมายเรียกนางสาววัชรี ถีระรักษ์ เข้าเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมไม่ได้ซื้อแหวนเพชรกับสร้อยเพชรและไม่เคยได้รับมอบทรัพย์สองสิ่งนี้จากโจทก์ ข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่เกี่ยวถึงตัวจำเลยร่วมเป็นความเท็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 86,181 บาท ให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ย ส่วนคดีที่เกี่ยวกับจำเลยร่วมให้ยกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 65,466 บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาเป็นประการแรกว่าโจทก์เป็นหญิงมีสามีไม่ได้รับความยินยอมจากสามีให้ฟ้องคดี แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้แต่จำเลยก็ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ได้ เนื่องจากเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงขอให้ศาลฎีกาจำหน่ายคดีของโจทก์นั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากสามีจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การไว้ จึงเป็นเรื่องที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ศาลฎีกาก็เห็นว่าไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรที่จะได้รับการวินิจฉัย...ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยซื้อแหวนเพชรและสร้อยเพชรไปจากโจทก์เท่านั้น โจทก์จึงนำเงินจำนวน36,000 บาท ไปหักราคาจี้เพชรไม่ได้ เพราะเป็นมูลหนี้ที่โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกร้องมา คงหักได้จากราคาแหวนเพชรและสร้อยเพชรที่จำเลยยังค้างชำระราคาอยู่เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 65,466 บาทให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย..."
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 50,171 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 28กันยายน 2527 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.