โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 นายอัศวิน และนางสาวกนกวรรณ หรืออลิสา และคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1174/2539 หมายเลขแดงที่ 1112/2539 ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นโมฆะ
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว และขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราส่งสำนวนไปให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราจึงโอนคดีมายังศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายกอุทธรณ์จำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องแทนนายอัศวินต่อจำเลยทั้งสองเพื่อขอให้พิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมระหว่างจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 นายอัศวินและนางสาวกนกวรรณ (จำเลยในคดีดังกล่าว) ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1112/2539 ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นโมฆะ โดยอ้างว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองของบุตรทั้งสองแล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้บุตรทั้งสองไปจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสามแปลงแก่จำเลยทั้งสองโดยศาลมิได้มีคำสั่งอนุญาตเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 (12) และมาตรา 1575 ต่อมาบุตรทั้งสองบรรลุนิติภาวะแล้วจึงได้บอกล้างสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งในส่วนของจำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 พูดจาขู่เข็ญให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยที่ 2 ไม่รู้ว่าข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นอย่างไร ส่วนบุตรทั้งสองลงลายมือชื่อยินยอมตามที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาบอกและขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ เห็นได้ว่า คำให้การของจำเลยที่ 2 มิได้ยกข้อต่อสู้ใด ๆ เป็นข้อแก้คำฟ้องของโจทก์ นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง บัญญัติว่า "ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น" เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้ให้การปฏิเสธถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราได้อนุญาตให้บุตรทั้งสองซึ่งเป็นผู้เยาว์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามคำฟ้องหรือไม่ ย่อมต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับข้ออ้างตามฟ้องแล้ว ส่วนข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ในคำให้การมิได้เป็นการยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ กลับเป็นข้อสนับสนุนคำฟ้องของโจทก์ และเป็นปฏิปักษ์กับคำให้การของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ต้องยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีต่างหาก เนื่องจากจำเลยที่ 2 มิได้อยู่ในฐานะเป็นโจทก์ที่ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ คำให้การในส่วนนี้ของจำเลยที่ 2 ย่อมไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ ฉะนั้นที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1112/2539 ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทราไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยอ้างเหตุตามคำฟ้องของโจทก์ว่าการทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 และมาตรา 1575 คำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นข้อที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์แทนโจทก์โดยปราศจากอำนาจ ย่อมเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ เพราะมิใช่เป็นการอุทธรณ์ในประเด็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ส่วนอุทธรณ์ในข้อที่ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ทราบข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความ หรือบุตรทั้งสองลงลายมือชื่อตามคำบอกของจำเลยที่ 1 ก็มิใช่ประเด็นข้อพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ดังที่ได้วินิจฉัยแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรแก่การได้รับวินิจฉัยย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 2 ไม่ทำให้ผลตามคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ