โจทก์ฟ้องว่า ตึกรายพิพาทเป็นของพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพรและพระองค์เจ้าอนุสร-มงคลการ ซึ่งมอบอำนาจให้พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคลจัดการผลประโยชน์ มีสิทธิฟ้องร้องและตั้งตัวแทน พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคลมอบอำนาจให้นายสง่า ณ ระนอง ดูแลจัดการผลประโยชน์และมีอำนาจฟ้องคดีได้ จำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคล และจำเลยที่ ๑ ในฐานะส่วนตัวและฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ได้เช่าตึกของโจทก์เพื่อประกอบการค้า ๓ ปี ครบกำหนดแล้วโจทก์บอกเลิกการเช่าจำเลยเพิกเฉยเสียทำให้เสียหายขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน และให้จำเลยออกจากตึกนี้
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สำเนาสัญญาเช่าท้ายฟ้องไม่ถูกต้อง จำเลยที่ ๑ เช่าเพื่ออาศัยอยู่เองส่วนหนึ่งนอกนั้นให้เช่าช่วง และมีข้อตกลงว่าผู้ให้เช่ายอมให้เช่าช่วงบางส่วนได้จำเลยที่ ๑ และผู้เช่าช่วงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยเช่าตึกพิพาทแทนจำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยที่ ๑ การอยู่ไม่เป็นละเมิด คงเรียกได้แต่ค่าเช่าซึ่งสูงมากแล้ว หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องจะถูกต้องหรือไม่ ไม่ทราบและไม่รับรอง
จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธว่า จำเลยที่ ๑ มิได้ทำสัญญาเช่าตึกพิพาทในฐานตัวแทนจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ มิใช่คู่สัญญากับโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ โจทก์เป็นเจ้าของตึกพิพาทหรือไม่ เอกสารท้ายฟ้องถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่รับรอง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่ทราบว่าตึกพิพาทเป็นของผู้ใดแน่ คำบรรยายฟ้องใช้คำว่า จำเลย ก็ไม่ขัดว่าทั้ง ๒ คนหรือคนใด จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็น ๗ ข้อ พิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหาย ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากตึกพิพาทกับให้ใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยติดใจฎีกาเพียง ๕ ประเด็น
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ประเด็นข้อแรกที่จำเลยค้านว่าหนังสือมอบอำนาจหมายเลข ๑ ระบุว่าพระองค์เจ้าเฉลิมพลฯ และพระองค์เจ้าอนุสรฯ ผู้มีส่วนรับพระมรดกของสมเด็จฯ กรมหลวงลพบุรีฯ ร่วมกับพระองค์เจ้าภาณุพันธ์ฯ ได้ตกลงมอบพระมรดกรายนี้ให้พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ฯ เป็นผู้จัดการ ฯลฯ จำเลยถือว่ามิใช่ให้มีอำนาจในพระมรดกพระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเขตรฯ ส่วนหนังสือมอบอำนาจหมายเลข ๒ ระบุว่า พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ฯ ได้แต่งตั้งนายสง่า ณ ระนอง มีอำนาจทำการแทน ก็อ้างถึงทรัพย์สินกองมรดกสมเด็จฯ กรมหลวงลพบุรีฯ นายสง่าจึงไม่มีอำนาจฟ้อง และควรฟังว่ามรดกของพระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเขตรฯ มีผู้จัดการมรดก ๓ คน คือ พระโอรสทั้งสามที่กล่าวนั้น ซึ่งจะต้องร่วมกันฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๑๕ หรือเห็นชอบด้วยตามมาตรา ๑๓๕๘ นั้น เห็นว่า สมเด็จฯ กรมหลวงลพบุรีฯ กับพระองค์เจ้าหญิงเฉลิมพลฯ และพระองค์เจ้าอนุสรฯ หนังสือมอบอำนาจจะเขียนพระนามพระชนกหรือพระขนนีก็หามีความหมายผิดกันไม่เพราะผลที่สุดตึกพิพาทนี้ได้ตกเป็นมรดกแก่พระโอรสทั้งสามนี้ และเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้มอบอำนาจทั่งไปแก่นายสง่าซึ่งโจทก์มิได้นำสืบโต้แย้งต้นฉบับหนังสือนี้
และคดีนี้ไม่ใช่เรื่องผู้จัดการมรดก แต่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกพิพาท ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ๒ มาตราที่จำเลยอ้างนั้น ไม่ตรงกับรูปคดีนี้
ประเด็นข้อ ๒ เป็นเรื่องของจำเลยที่ ๒ ว่าได้ถูกฟ้องเป็นคู่ความด้วยหรือไม่ นั้น เมื่อทำสัญญาเช่าก็เขียนชื่อจำเลยที่ ๑ ไว้ว่าเป็นเจ้าของบริษัทจำเลยที่ ๒ และเมื่อนำสืบก็รับว่ามีคนภายนอกถือหุ้นอยู่ด้วยไม่เกินร้อยละสิบ ที่ตั้งทำการของจำเลยที่ ๒ ก็คือ ตึกรายพิพาทซึ่งจำเลยที่ ๑ เช่าไป เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะให้โจทก์ถือว่าควรจะฟ้องจำเลยที่ ๒ ด้วยได้ โจทก์จึงได้ระบุขัดในคำฟ้องเรียกบริษัทห้างขายยาอังกฤษตรางูเป็นจำเลยที่ ๒ โดยบรรยายฟ้องด้วยว่าเป็นนิติบุคคล ดังนี้ คำขอให้ขับไล่จำเลยย่อมหมายถึงจำเลยทั้งสอง อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ ๒ ได้อยู่ในตึกพิพาทโดยไม่มีข้อต่อสู้ ไม่ได้นำสืบต่อสู้ ศาลจึงพิพากษาขับไล่จำเลย
ประเด็นข้อ ๓ เห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทในขณะฟ้องความ ไม่จำต้องบรรยายโดยละเอียดถึงความเป็นมาแห่งทรัพย์มรดกรายนี้และคำฟ้องก็ระบุชื่อจำเลยทั้งสองไว้ในตอนต้นแล้ว ตอนต่อๆ ไป แม้ใช้คำว่าจำเลยก็เข้าใจได้ว่าจำเลยทั้งสองซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นผู้เช่าร่วมกันอยู่ จำเลยไม่หลงต่อสู้
ประเด็นข้อ ๔ ข้อที่ว่า สำเนาสัญญาเช่าท้ายฟ้องไม่ตรงกับต้นฉบับโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามสัญญาเช่าที่ส่งอ้างต่อศาล นั้น คู่ความได้รับกันแล้วว่าต้นฉบับที่โจทก์ส่งอ้างต่อศาลถูกต้องตรงกับคู่ฉบับซึ่งอยู่ที่จำเลยที่ ๑ แม้โจทก์คัดสำเนาติดท้ายฟ้องจะพลั้งเผลอตกหล่นไปบ้างก็ไม่ขาดข้อความสำคัญ อันเป็นพยานหลักฐานได้
ประเด็นสุดท้าย เป็นเรื่องการบอกล่าวเลิกการเช่า ฟังได้แล้วว่าโจทก์ส่งคำบอกกล่าวแก่จำเลยแล้ว
พิพากษายืน