ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า  โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย  แต่ทรัพย์รายการอันดับ ๓  เป็นที่ดินของผู้ร้อง  ซื้อจากจำเลย ๔,๔๐๐ บาท  ได้ทำหนังสือซื้อขายจดทะเบียนนิติกรรมถูกต้อง  ขอให้สั่งปล่อยทรัพย์
โจทก์ให้การว่า  เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีแล้ว  จำเลยกับผู้ร้องสมคบกันแสร้งทำสัญญาซื้อขาย  แล้วสมยอมให้โจทก์ฟ้องจำเลย  จำเลยทำยอมความ  นำคำพิพากษาไปโอนกันที่อำเภอในระยะเวลาที่คดีโจทก์อยู่ระหว่างบังคับคดี  ผู้ร้องรับโอนโดยไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ  ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า  เดิมที่พิพาทเป็นของบิดามารดา  บิดามารดาตายตกได้แก่บุตร ๓ คน คือ  โจทก์ - นายบัว  และนางปอย  ภริยาจำเลย  จำเลยเป็นหนี้โจทก์  โจทก์ฟ้องและศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน  จำเลยไม่ใช้  โจทก์นำยึดนาพิพาทเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๑๑  โจทก์ไม่ทราบการซื้อขายระหว่างผู้ร้องกับจำเลย
ผู้ร้องนำสืบว่า  จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้ผู้ร้องเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๐  กำหนดจะไปโอนภายใน ๗ วัน  ครบกำหนดแล้วไม่ไปโอน  ผู้ร้องจึงฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๑๑  รุ่งขึ้นจำเลยทำยอมความต่อศาลยอมไปจดทะเบียนนิติกรรมโอนให้ภายใน ๓ วัน  แล้วจำเลยก็ไปทำสัญญาจดทะเบียนขายที่พิพาทให้โจทก์ที่อำเภอเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๑๑
ศาลฎีกาเห็นว่า  แม้จำเลยกับผู้ร้องจะทำสัญญาจะซื้อขายกันโดยสุจริตก่อนโจทก์ยึด  กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ก็ยังไม่โอนไปยังผู้ร้อง  ขณะที่โจทก์นำยึดทรัพย์พิพาทยังเป็นของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๕ (๑)  การที่จำเลยก่อให้เกิดการโอนหรือเปลี่ยนแปลงในทรัพย์พิพาทภายหลังที่โจทก์ได้ยึดไว้แล้วนั้นหาอาจใช้ยันแก่โจทก์ได้ไม่  จำเลยไปทำนิติกรรมโอนที่พิพาทให้ผู้ร้องหลังวันยึด  จึงใช้ยันโจทก์ไม่ได้  ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท
พิพากษายืน.