โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากัน และเป็นบิดามารดาจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นภริยาจำเลยที่ 2 โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ 3963 ซึ่งโจทก์ที่ 1 จำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) ต่อมาเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2538 จำเลยที่ 1 บอกโจทก์ที่ 1 ว่าจะไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท ขอให้โจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจของกรมที่ดินซึ่งยังมิได้กรอกข้อความและเอกสารที่เกี่ยวข้อง โจทก์ที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจและเอกสารอื่นให้จำเลยที่ 1 ไป ต่อมาโจทก์ทั้งสองทราบว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทไปเป็นของตน จึงไปตรวจสอบสารบบที่ดินพิพาทที่สำนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่ พบว่าเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2538 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ที่ 1 โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อันเป็นการปลอมหนังสือมอบอำนาจหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฉบับลงวันที่ 14 มิถุนายน 2539 จึงเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีสิทธิจำนองที่ดินพิพาทต่อจำเลยที่ 3 สัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ฉบับลงวันที่ 14 มิถุนายน 2538 จึงเป็นโมฆะ จำเลยที่ 4 ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยรู้ว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจปลอม เป็นการจงใจทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 ขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 3963 ตำบลเหนือคลอง อำเภอเมืองกระบี่ (ปัจจุบันกิ่งอำเภอเหนือคลอง) จังหวัดกระบี่ ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2538 ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยปลอดภาระผูกพันกลับมาเป็นของโจทก์ที่ 1 โดยให้จำเลยทั้งสี่เป็นผู้รับผิดชอบชำระอากร ค่าธรรมเนียม ค่าภาษีและค่าใช้จ่าย ถ้าจำเลยทั้งสี่ไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่ได้กรอกข้อความ ถือเป็นการกระทำที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ 3 เป็นบุคคลภายนอกรับจำนองที่ดินพิพาทโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต โจทก์ที่ 1จึงต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 3 นิติกรรมซื้อขายที่ดินและจำนองไม่เป็นโมฆะ ทั้งการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำเงินที่ได้จากการกู้ยืมเงินและจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 ไปชำระไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผลทำให้โจทก์ที่ 1ในฐานะผู้จำนองได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ต้องถูกธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บังคับให้ชำระหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องจำเลยที่ 4
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่3963 ตำบลเหนือคลอง อำเภอเมืองกระบี่ (กิ่งอำเภอเหนือคลอง) จังหวัดกระบี่ ฉบับลงวันที่ 14 มิถุนายน 2538 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ก่อนยื่นฎีกา โจทก์ที่ 1 ถึงแก่ความตาย นายอนันต์ เอ่งฉ้วน บุตรโจทก์ที่ 1 ทายาทโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 เป็นภริยาของจำเลยที่ 2โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ 3963 ตำบลเหนือคลอง อำเภอเมืองกระบี่ (ปัจจุบันกิ่งอำเภอเหนือคลอง) จังหวัดกระบี่ ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.5 โจทก์ที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1และที่ 2 ไว้ต่อธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในวงเงิน 300,000 บาท ตามสำเนาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.12 เมื่อเดือนมิถุนายน 2538 จำเลยที่ 1 บอกโจทก์ที่ 1 ว่าจะไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท โจทก์ที่ 1 จึงลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจซึ่งยังไม่กรอกข้อความมอบให้แก่จำเลยที่ 1 ตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 ต่อมาวันที่ 14 มิถุนายน 2538 จำเลยที่ 1 ได้กรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวและนำไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในวันเดียวกันนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทต่อจำเลยที่ 3 ตามสารบัญจดทะเบียนด้านหลังสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.5สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.3 และหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเอกสารหมาย ล.9
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ได้หรือไม่ โจทก์ทั้งสองนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมายจ.2 ซึ่งยังไม่กรอกข้อความมอบให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท ซึ่งจำนองไว้ต่อธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แต่จำเลยที่ 1 กรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นว่าโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินพิพาทจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้นำสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสอง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามข้ออ้างของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ที่ 1 ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 เป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่ตนเองโดยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอม จึงถือว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทมิได้เกิดขึ้น กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังคงเป็นของโจทก์ที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3 นำสืบว่ารับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยสุจริต เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ทั้งสองไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมรู้เห็นกับการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขณะจำเลยที่ 3 รับจำนองจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท ย่อมทำให้จำเลยที่ 3 เข้าใจว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท เรื่องระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 1และที่ 2 จะเป็นอย่างไร จำเลยที่ 3 มิรู้เห็นด้วย จึงถือว่าจำเลยที่ 3 รับจำนองโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แม้ขณะจดทะเบียนจำนองจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิใช่เจ้าของที่ดินพิพาท แต่พฤติการณ์ของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทที่ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้จำเลยที่ 1 เป็นการเปิดโอกาสให้จำเลยที่ 1และที่ 2 นำไปใช้ในกิจการอื่นถือว่าโจทก์ที่ 1 ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง โจทก์ที่ 1 จะยกเอาผลที่เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตนมาฟ้องจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับจำนองที่ดินพิพาทโดยสุจริตหาได้ไม่ ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้นส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่สามารถฟ้องเพิกถอนการจำนองที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ได้ ที่ดินพิพาทยังติดจำนองอยู่ซึ่งจำเลยที่ 3 สามารถบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินพิพาทได้ไม่ว่าที่ดินพิพาทจะถูกโอนกลับไปเป็นของโจทก์ที่ 1 หรือไม่ก็ตาม ดังนั้น คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีผลกระทบต่อจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีการะหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 3 ให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาแก่จำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8"