คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดคือที่นาเป็นของผู้ร้องโดยจำเลยทำหนังสือจดทะเบียนยกให้  ขอให้ศาลสั่งถอนการยึด
โจทก์คัดค้านว่าการกระทำของจำเลยกับผู้ร้องเป็นการฉ้อฉล  ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่ผู้ร้องกล่าวอ้างมานั้น
ศาลชั้นต้นฟังว่าการยกให้ไม่สุจริตทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  จึงมีคำสั่งให้เลิกถอนการยกให้  และยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  แม้จำเลยจะได้ทำนิติกรรมและจดทะเบียนการยกให้ที่นารายพิพาทนี้แก่ผู้ร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยก็ดี  แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าทั้งจำเลยและผู้ร้องซึ่งเป็นบิดากับบุตรทราบอยู่แล้วว่า  การโอนนั้นเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ของจำเลยเสียเปรียบ  เพราะจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นอีกนอกจากที่นาที่ยกให้  โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนรายหนี้ได้ตาม  ป.พ.พ.มาตรา ๒๓๗ คดีนี้เป็นเรื่องชั้นบังคับคดี  เจตนารมณ์ของการบังคับคดียอมให้ว่ากล่าวกันได้ภายหลังการยึดทรัพย์แล้ว  ฉะนั้น ศาลจึงมีอำนาจชี้ขาดตามความในมาตรา  ๒๓๗  ได้โดยไม่จำต้องให้โจทก์ไปดำเนินคดีฟ้องร้องขอให้ทำลายการโอนหรือเพิกถอนการฉ้อฉลเสียก่อนแต่ประการใด
ส่วนฎีกาข้อ ข. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๖๑ ให้รวมค่าทนายความด้วยและคำสั่งในเรื่องค่าธรรมเนียมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖๗  ก็ให้ศาลสั่งได้ไม่ว่าคู่ความหรือแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจักมีคำขอหรือไม่ก็ดี  ดังนั้น  การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจให้ผู้ร้องเสียค่าทนายแทนโจทก์  จึงหาเกินคำขอไม่  ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนให้ยกฎีกาผู้ร้อง