โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,339 คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 339 วรรคสอง จำคุก 12 ปี คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปีคำเบิกความของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม จำคุก 6 ปี8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีผู้เสียหายมาเบิกความว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายอยู่บนรถโดยสารประจำทาง จำเลยทั้งสองก็อยู่บนรถโดยสารประจำทาง จำเลยที่ 2 พูดขอเสื้อฝึกงานที่ผู้เสียหายพาดบ่าอยู่ ผู้เสียหายดึงเสื้อไว้ไม่ให้ไป จำเลยที่ 1 ก็พูดว่า ถ้าไม่ให้มึงเจ็บ ผู้เสียหายจึงปล่อยเสื้อให้จำเลยที่ 2 ไป เมื่อรถโดยสารประจำทางจอดป้ายถัดไปจำเลยทั้งสองลงจากรถโดยสารประจำทางเข้าไปในร้านขายเครื่องดื่มผู้เสียหายเดินตามเข้าไปเพื่อขอเสื้อคืน จำเลยทั้งสองเดินออกมาจากร้านขายเครื่องดื่มมีลักษณะอาการขึงขัง ผู้เสียหายจึงไปหาบ๋อยโรงแรมเวกัส จำเลยทั้งสองเข้าไปที่โต๊ะสนุกเกอร์ในโรงแรมเวกัสบ๋อยโรงแรมโทรศัพท์แจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ เจ้าพนักงานตำรวจมาที่โรงแรม จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าเจ้าพนักงานตำรวจที่มาเป็นพวกของผู้เสียหายจึงหยิบไม้ท่อนขึ้นมาจะตีผู้เสียหาย เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้เข้าจับกุมจำเลยทั้งสองได้ เห็นว่า ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 1 มาก่อน จึงไม่มีเหตุให้น่าสงสัยว่า จะเบิกความเป็นการปรักปรำจำเลยที่ 1 จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้มาด้วยกันบนรถโดยสารประจำทางและจำเลยที่ 1 พูดเพื่อให้ผู้เสียหายยอมให้เสื้อฝึกงานแก่จำเลยที่ 2 จริง ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่าไม่ได้ไปกับจำเลยที่ 2 ด้วยบนรถโดยสารประจำทางนั้น ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้เพราะถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ไปแล้วจำเลยที่ 1 จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้เสียหายเป็นเจ้าของเสื้อที่จำเลยที่ 2 เอามา เพราะเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้ามาจับกุมนั้นจำเลยที่ 1 ก็เข้าใจว่าเป็นพวกของผู้เสียหายได้หยิบไม้ขึ้นมาจะทำร้ายผู้เสียหาย ข้อที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปคือ การกระทำของจำเลยที่ 1 จะเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาได้ความว่า ผู้เสียหายเป็นนักเรียน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ก็เป็นนักเรียนซึ่งเป็นวัยรุ่น ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 อยุ่ในอาการมึนเมาเมื่อจำเลยที่ 2 เอาเสื้อชุดฝึกงานของผู้เสียหายที่พาดบ่าไปแล้วได้ลงจากรถโดยสารประจำทางที่ป้ายถัดไป เดินเข้าไปในร้านขายเครื่องดื่ม แล้วเดินออกมาพบผู้เสียหาย ผู้เสียหายไปอยู่กับพนักงานโรงแรมเวกัส จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ก็ยังตามไปโรงแรมเวกัสที่ผู้เสียหายเข้าไปโดยจำเลยทั้งสองอยู่ที่โต๊ะสนุกเกอร์ในโรงแรมเวกัส ตอนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะมาจับกุมนั้นได้ความจากคำของร้อยตำรวจโทไพบูลย์ พุทธรักษา รองสารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลประชาชื่นขณะนั้นว่า เสื้อชุดฝึกงานของผู้เสียหายพาดอยู่ที่บ่าซ้ายของจำเลยที่ 2 พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ที่แสดงต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นนักเรียนต่างโรงเรียนกันในขณะที่มีอาการมึนเมาโดยเอาเสื้อที่พาดบ่าผู้เสียหายไป เมื่อลงจากรถไปแล้วก็มิได้มีกิริยาที่จะหลบหนีหรือพาไปให้พ้น ทั้งยังตามไปในโรงแรมที่ผู้เสียหายเข้าไป โดยเสื้อที่เอาไปก็ยังพาดบ่าจำเลยที่ 2 อยู่นั้นการกระทำของจำเลยทั้งสองที่เป็นวัยรุ่นเช่นนั้น เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาที่จะเอาไปเป็นของตนเองอันเป็นการแสดงเจตนาทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์ที่เอาไป แต่เป็นที่เห็นได้ว่าที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำไปเช่นนั้นเป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ทำไปด้วยความคะนองเพื่อให้ผู้เสียหายเห็นว่า เป็นคนเก่งพอที่จะรังแกคนได้ตามวิสัยวัยรุ่นที่ความประพฤติไม่เรียบร้อยเท่านั้น มิใช่เป็นการมุ่งหมายเพื่อจะได้ประโยชน์จากทรัพย์นั้นแต่ประการใด ทั้งตามคำให้การชึ้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 นั้นก็ได้ความว่าจำเลยที่ 2เอาเสื้อมาเพื่อจะแกล้งล้อเล่น ถือไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาลักทรัพย์ การที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ทำการดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่การที่จำเลยที่ 1พูดในลักษณะที่เป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายว่าถ้าไม่ให้เสื้อจำเลยที่ 2จะเจ็บตัวจนผู้เสียหายยอมให้เสื้อไปนั้น เป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายต้องจำยอม โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายอันเป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรกซึ่งความผิดดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงต้องลงโทษจำเลยที่ 1 ตามที่พิจารณาได้ความ..."
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยที่ 1 ถูกขังมาพอแก่โทษแล้วให้ปล่อยตัวไป.