คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจปักรั้วให้ล้ำเข้าไปในทางหลวงโดยมิได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ลงโทษตามมาตรา ๓๓๖
ได้ความว่าทางเดิรรายพิพาทนี้อยู่ในที่ดินของจำเลยซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่จำเลยได้ปล่อยให้สาธารณชนใช้สัญจรไปมาเป็นทางผ่านเข้าออกไปยังตำบลอื่น ๆ เป็นเวลากว่า ๒๐ ปีแล้ว ทั้งที่ดินข้างเคียงก็ยังเป็นป่าอยู่
ศาลฎีกาเห็นว่าทางรายพิพาทนี้ได้ประโยชน์แก่สาธารณชนเพื่อใช้สัญจรไปมายังตำบลต่าง ๆ ทั้งจำเลยได้เลิกครอบครองมาแล้วถึง ๑๕ ปี รูปคดีเห็นได้ว่าจำเลยได้สละให้เป็นทางสำหรับสาธารณชนใช้สัญจร ทางรายพิพาทจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลแพ่ง ม.๑๓๐๔ อนุมาตรา ๒ และสาธารณชนมีความชอบธรรมที่จะใช้เป็นทางสัญจรได้ จึงเป็นทางหลวงตามกฎหมายอาชญามาตรา ๖ ข้อ ๑๑ เมื่อจำเลยปิดทางนี้ จำเลยต้องมีผิดตาม ม.๓๓๖ ข้อ ๒ จึงพิพากษายืนตามศาลเดิมให้ปรับจำเลย ๑๐ บาท