โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแก่ประชาชนทั้งเป็นการครอบครองทรัพย์อันตรายโดยสภาพ จำเลยที่ 2เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ตำแหน่งหัวหน้าเขตจำหน่ายบางกะปิ มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบกิจการและการปฏิบัติงานของสาขาเขตบางกระปิของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ตำแหน่งหัวหน้าเวรสาขาเดียวกัน มีหน้าที่ดูแลรักษา ควบคุมครอบครองตลอดจนรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2526 เวลา 12.30 นาฬิกา จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่อยู่ทำการตรวจตราตามหน้าที่ และเพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีอิฐทนไฟก่อเป็นกำแพงป้องกันไฟ เป็นเหตุให้เพลิงไหม้อาคารไม้ชั้นเดียวซึ่งเป็นที่เก็บวัสดุอุปกรณ์ของจำเลยที่ 1 และปลูกอยู่ด้านหลังตึกแถวของโจทก์ทั้งสาม เพลิงได้ลุกลามไหม้ตึกแถวของโจทก์ทั้งสามตลอดจนทรัพย์สินในอาคารเสียหาย เป็นการละเมิดต่อโจทก์ในขณะที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นลูกจ้างและทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายเป็นเงิน 157,000 บาท 131,300 บาท และ109,300 บาท ตามลำดับ รวมค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 397,600บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 29,820 บาท รวมเป็นเงิน 427,420 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 397,600 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2และที่ 3 ไม่มีหน้าที่ดังที่โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้าง จำเลยที่ 2 มีหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมบังคับบัญชาพนักงานของฝ่ายจำหน่ายที่ประจำอยู่เขตบางกะปิ เกี่ยวกับการรับคำขอใช้ไฟฟ้า การสำรวจสถานที่ใช้ไฟฟ้าและการติดตั้งไฟฟ้า มิได้มีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบพนักงานฝ่ายอื่นที่ประจำอยู่เขตบางกะปิ เพราะแต่ละฝ่ายมีหัวหน้าเขตประจำรับผิดชอบอยู่ และในวันเกิดเหตุเพลิงไหม้ตามฟ้อง จำเลยที่ 2ก็มิได้มาปฏิบัติงานแต่อย่างใด สำหรับจำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งช่างเทคนิคสายอากาศ 5 หมวดประมาณการ เขตจำหน่ายบางกะปิ ฝ่ายจำหน่าย มีหน้าที่ทำการประมาณราคาค่าใช้จ่ายรวมทั้งออกสำรวจและทำแผนที่สถานที่ของผู้ขอใช้ไฟฟ้ากับคำนวณการใช้กระแสไฟฟ้า เมื่อวันที่6 กุมภาพันธ์ 2526 จำเลยที่ 3 ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเวรแก้ไฟฟ้าขัดข้อง จึงได้มาปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานอื่น ๆ อีก 13 คน และได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่อาคารเก็บเครื่องมือและวัสดุจริง แต่อยู่คนละอาคารกับที่จำเลยที่ 3 ปฏิบัติงาน เพลิงเกิดลุกไหม้โดยไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้เป็นผู้ก่อหรือประมาททำให้เกิดเพลิงไหม้ จึงมิต้องรับผิด จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมิต้องรับผิดด้วยโจทก์ทั้งสามเสียหายไม่เกิน30,000 - 50,000 บาท
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดด้วย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุที่เกิดเพลิงไหม้คดีนี้เกิดจากพนักงานหรือคนงานคนใดคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 เข้าไปใช้ห้องเก็บของในอาคารที่เกิดเหตุในระหว่างปฏิบัติงานตามหน้าที่ แล้วทิ้งวัตถุติดไฟไว้โดยความประมาทเลินเล่อจึงเกิดไหม้ลุกลามออกไปจนไหม้ตึกแถวของโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าเขตจำหน่ายบางกะปิ และมีหน้าที่ควบคุมดูแลอาคารที่เกิดเพลิงไหม้อยู่ด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้าเวรแก้ไฟเสีย ซึ่งมาปฏิบัติงานในวันเกิดเหตุ และวินิจฉัยว่าแม้จำเลยที่ 2 จะมีหน้าที่ควบคุมดูแลอาคารที่เกิดเพลิงไหม้ก็ตาม แต่ได้ความจากคำให้การชั้นสอบสวนของนายประสิทธิ์ว่า จำเลยที่ 1เป็นผู้จัดให้มียามรักษาการณ์บริเวณการไฟฟ้านครหลวง เขตบางกะปิอยู่3 จุด คือประตูใหญ่ด้านหน้า อาคารที่ว่าการ และคลังพัสดุ ไม่ได้ความจากพยานของฝ่ายใดเลยว่า จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องจัดเวรยามดูแลอาคารที่เกิดเพลิงไหม้อีกชั้นหนึ่ง โดยเฉพาะวันเกิดเหตุก็เป็นวันหยุดงาน ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ตนไม่มีหน้าที่ต้องมาอยู่เวรยามหรือตรวจตราเจ้าหน้าที่และโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น แม้จะได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าเวรแก้ไฟเสียในวันเกิดเหตุ ก็ได้ความว่ามีหน้าที่เพียงจัดเวรพนักงานออกไปตรวจแก้ไฟฟ้าขัดข้างนอกที่ทำการ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 มีหน้าที่ต้องควบคุมดูแลการใช้อาคารที่เกิดเพลิงไหม้ด้วย ทั้งการใช้อาคารดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่พนักงานของจำเลยที่ 1ใช้กันเป็นประจำทั้งในวันเปิดทำการและวันหยุดดังที่ได้ความมาข้างต้นจึงถือได้ว่าการใช้อาคารที่เกิดเพลิงไหม้ในลักษณะดังกล่าวเป็นการใช้เพื่อปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายกันตามปกติเป็นประจำจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 ประมาทเลินเล่อในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนเช่นกัน จำเลยที่ 2 และที่ 3จึงมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ และแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าผู้ทำละเมิดต่อโจทก์คือพนักงานหรือคนงานของจำเลยที่ 1 กระทำโดยประมาทเลินเล่อในขณะปฏิบัติหน้าที่การงานของจำเลยที่ 1 ดังวินิจฉัยมาแล้ว และแม้พนักงานหรือคนงานเหล่านี้อยู่ในบังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 และที่ 3แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และพนักงานหรือคนงานดังกล่าวต่างเป็นพนักงานหรือคนงานของจำเลยที่ 1 และต่างปฏิบัติงานในหน้าที่ให้จำเลยที่ 1ด้วยกัน จึงอยู่ในฐานะนายงานกับคนงาน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 มีส่วนผิดในการออกคำสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติงานจนเกิดความเสียหายขึ้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ตอ้งร่วมรับผิดด้วยส่วนจำเลยที่ 1 นั้น แม้จะไม่ได้ความว่าผู้ทำละเมิดเป็นใคร แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ทำละเมิดเป็นพนักงานหรือคนงานของจำเลยที่ 1ได้ทำละเมิดในขณะปฏิบัติการงานของจำเลยที่ 1 ตามหน้าที่ที่รับมอบหมาย พนักงานหรือคนงานดังกล่าวถือได้ว่าเป็นผู้แทนอื่น ๆของจำเลยที่ 1 เมื่อก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่โจทก์ จำเลยที่ 1ก็ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 จำเลยที่ 1 จะปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ และฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายเป็นเงิน 99,150 บาท 64,000 บาท และ 43,500 บาทตามลำดับ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 206,650 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2526จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาทค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 2 และที่ 3ในชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.