ความว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือสัญญาขายเรือพิพาทระวางบันทุก ๖.๖๗ ตันกรอสให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ อยู่ในที่นั้น ลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือสัญญานั้นด้วย จำเลยที่ ๒ ได้ขอเรือพิพาทมาใช้แทนลำที่โจทก์เช่าจากนายแผนให้จำเลยที่ ๒ ใช้ โจทก์อนุญาตพร้อมทั้งมอบทะเบียนเรือและหนังสือสัญญาซื้อขายให้แก่จำเลยที่ ๒ เพราะเกรงว่า อาจถูกจับกลางทาง จำเลยที่ ๒ ได้ครอบครองเรือพิพาทตลอดมา ต่อมาโจทก์ไปหาจำเลยที่ ๒ จะเอาเรือพร้อมด้วยใบทะเบียนและสัญญาซื้อขายไปโอนทะเบียน จำเลยที่ ๒ อ้างว่าได้ซื้อเรือไว้จากจำเลยที่ ๑ และได้โอนทะเบียนเสร็จแล้ว โจทก์จึงไปหาจำเลยที่ ๑ ๆ รับว่าได้โอนทะเบียนขายให้จำเลยที่ ๒ จริง โดยจำเลยที่ ๒ บอกว่าโจทก์ได้ขายเรือลำนี้ให้แก่จำเลยที่ ๒ แล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๒ เป็นคดีอาญาฐานยักยอก จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมเป็นพยาน โจทก์จึงถอนฟ้องคดีอาญามาฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายและเพิกถอนการแก้ทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ถ้าจำเลยไม่สามารถทำได้ ให้จำเลยร่วมกันใช้เงิน ๒๐๐๐ บาทแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ซื้อเรือรายพิพาทโดยทำหนังสือกันเอง แต่ได้ชำระเงินค่าเรือแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ได้มอบใบทะเบียนเรือและตัวเรือให้แล้ว ยังเหลือแต่เพียงจะไปโอนชื่อแก้ทะเบียนที่กรมเจ้าท่าเท่านั้น โจทก์มีสิทธิในเรือรายนี้ และมีอำนาจฟ้องร้องให้จำเลยที่ ๑ โอนทะเบียนให้ได้ ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ โอนทะเบียนให้จำเลยที่ ๒ แล้ว แต่จำเลยที่ ๒ รู้ดีแล้วว่า เรือลำนี้โจทก์ซื้อจากจำเลยที่ ๑ ชำระค่าเรือเสร็จสิ้นไปแล้ว และมอบให้จำเลยที่ ๒ มาใช้ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ สมรู้กันไปโอนทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของ เป็นการทุจจริตผิดต่อหน้าที่ที่จำเลยได้รับมอบหมายทรัพย์รายนี้ไว้จากโจทก์ ชอบที่จะเพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้
พิพากษายืน