โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินเนื้อที่ 7 ไร่3 งาน 50 ตารางวา ราคา 45,000 บาทให้โจทก์ ต่อมาจำเลยผิดสัญญาขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ แต่จำเลยกู้เงินโจทก์โดยนำเอาแบบฟอร์มมาให้จำเลยพิมพ์นิ้วมือบอกว่าเป็นสัญญากู้เงิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้1,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...เชื่อได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญาเอกสารหมาย จ. 1 จะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์จริง และเห็นว่าหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไม่ใช่ใบรับตามประมวลรัษฎากร ดังนั้นแม้ในหนังสือสัญญาจะบุว่าได้มีการชำระเงินค่าที่ดินกันบางส่วนก็รับฟังว่ามีการรับเงินดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามที่จำเลยฎีกา คดีปรากฏตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเอกสารหมาย จ. 1 ว่า จำเลยได้รับเงินมัดจำค่าที่ดินพิพาทไปจากโจทก์ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว เป็นเงิน 25,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 20,000 บาท โจทก์เบิกความว่าจำเลยตกลงให้โจทก์นำไปชำระให้แก่สหกรณ์การเกตรพระคือพัฒนา จำกัด จำเลยเองก็เบิกความรัยว่าโจทก์ ได้ออกเงินที่จำเลยยังเป็นหนี้สหกรณ์และได้ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทจากสหกรณ์ให้กับจำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามสัญญา ที่จำเลยฎีกาทำนองว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2514 พนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่นและจำเลยไม่มีอำนาจทำนิติกรรมโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้เพราะขัดต่อพระราชบัญญัติดังกล่าว ข้อกฎหมายในเรื่องนี้ ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ จึงไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและแม้ข้อกฎหมายดังกล่าวจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่สำหรับคดีนี้ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 (5) ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน.