โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อสินค้าเป็นเงิน ๖๓๖,๑๗๔ บาท จากโจทก์ จำเลยไม่ชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยได้รับสินค้าจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๖,๘๒๕.๑๖ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๕๒,๙๙๙.๑๖ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖๓๖,๑๗๔ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ส่งมอบสินค้าไม่ตรงตามตัวอย่าง ชำรุดบกพร่องไม่ได้มาตราฐาน จำเลยแจ้งให้โจทก์แก้ไขแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยได้บอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ทั้งให้โจทก์รับมอบสินค้าคืนแต่โจทก์เพิกเฉยทำให้จำเลยเสียหาย รวมค่าเสียหาย ๒๖๐,๐๐๐ บาท จำเลยขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๔๐ จนถึงวันฟ้อง เป็นดอกเบี้ย ๙,๗๕๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๖๙,๗๕๐ บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๖๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ชำระค่าโกดังสินค้าเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะรับสินค้าคืนไปจากจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ส่งมอบสินค้าตรงตามตัวอย่างที่ตกลงซื้อขายกัน และได้วางบิลเรียกเก็บเงินแล้ว จำเลยได้นัดชำระเงินโดยไม่ทักท้วงว่าสินค้ามีความชำรุดบกพร่องภายในเวลาอันควร จึงไม่อาจอ้างเหตุความชำรุดบกพร่องมาปฏิเสธไม่ชำระค่าสินค้าให้โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน ๑๒๗,๙๒๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับกับให้โจทก์รับมอบสินค้าคืนจากจำเลย และให้ชำระเงินแก่จำเลยตามฟ้องแย้งจำนวน ๒๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยในส่วนค่าเสียหาย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์และให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้งบางส่วน ซึ่งทั้งโจทก์และจำเลยต่างชนะคดีตามฟ้องและฟ้องแย้งบางส่วน เมื่อโจทก์อุทธรณ์ขอให้ชนะคดีเต็มตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ยังคงวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา เพียงแต่ศาลอุทธรณ์ลดค่าเสียหายในส่วนนี้ โดยให้โจทก์ชำระเท่ากับจำนวนค่าสินค้าที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์คือ ๑๒๗,๙๒๔ บาท ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยในส่วนค่าเสียหายจึงไม่ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยมา ถือว่าศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษา ทั้งผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิการฎีกาของคู่ความได้ กรณีมีเหตุสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ ประกอบมาตรา ๒๔๓ (๑)
อนึ่งคดีของจำเลยในส่วนฟ้องแย้งศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวน ๒๓๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โจทก์อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องแย้งในส่วนค่าเสียหายดังกล่าว จึงเป็นการกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่จำเลยฎีกาขอให้ชนะคดีตามฟ้องแย้ง ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาจึงเป็นเงินจำนวน ๒๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันดังกล่าวถึงวันฟ้อง แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในทุนทรัพย์ ๖๕๒,๙๙๙.๑๖ บาท ซึ่งเกินกว่าที่จะต้องเสีย จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่จำเลย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมาแก่จำเลย.
นายสมยศ เข็มทอง ผู้ช่วยฯ
นายเจษฎา ชุมเปีย ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นางอัปษร หิรัญบูรณะ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ