โจทก์ฟ้องว่า  ได้ขายฝากที่ดินของโจทก์ไว้แก่จำเลย  กำหนดไถ่ถอนภายใน  ๑  ปี  โจทก์ขอไถ่จากจำเลย  เพื่อจะโอนให้แก่ผู้ซื้อ  จำเลยบิดพริ้ว  จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้คดี  และฟ้องแย้งว่า โจทก์ขายฝากที่ดินพิพาทแก่จำเลยจริง  แต่ต่อมาภายหลังได้ทำสัญญาขายขาดแก่จำเลยแล้ว  โดยเพิ่มเงินอีกที่ โจทก์ทำสัยญาขายที่พิพาทแก่พี่สาวโจทก์นั้น  เป็ฯการสมยอมกันจึงขอให้ศาลบังคับโจทก์โอนที่ พิพาทแก่จำเลย  หรือใช้เบี้ยปรับ
ผู้ร้องสอด  ร้องเข้ามาว่า โจทก์ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้แก่ผู้ร้อง  จึงขอให้ศาลบังคับโจทก์ตามสัญญา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  เห็นว่าการที่โจทก์ทำสัญญาขายขาดที่พิพาทแก่จำเลยในภายหลังนั้น  เท่ากับเป็นการสละสิทธิการไถ่ถอนตามสัญญาขายฝากเดิมแล้ว  จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์  และยกคำร้องผู้ซึ่งเป็นโจทก์ร่วม  ให้โจทก์โอนที่พิพาทให้จำเลย
ผู้ร้องสอดฝ่ายเดียว อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  ผู้ร้องสอดมีสิทธิดีกว่าจำเลย  จึงพิพากษาแก้ให้ระงับการบังคับให้โจทก์โอนที่พิพาทให้จำเลย
จำเลยฝ่ายเดียวฎีกา
ศาลฎีกา  เห็นว่า  ในเรื่องเอกสารที่ผู้ร้องสอดอ้าง  อันศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า  ยังไม่ได้เสียค่าอ้าง  ไม่รับฟังนั้น  ศาลฎีกาเห็นว่า  เอกสารที่กล่าวนี้อยู่ในสำนวนควาามของศาลชั้นต้นแล้ว  ไม่ต้องเรียกมาจากที่อื่น  เมื่อปรากฎว่าผู้อ้างยังไม่ได้เสียค่าอ้าง  ศาลก็ชอบที่จะเรียกให้ผู้อ้างชำระค่าธรรมเนียมการอ้างเอกสารนั้นเสียก่อนที่จะพิพากษาคดี  ต่อผู้อ้างขัดขืนไม่ชำระตามคำสั้ง  จึงไม่ควรรับฟังเป็นพยาน  และในคดีดนี้ต่อมาได้มีการชำระ  ซึ่งศาลได้รับไว้แล้ว  เช่นนี้  ศาลจึงรับฟังเอกสารนั้นเป็นพยานได้
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า  คดีนี้โจทก์มิได้อุทธรณ์  แต่เฉพาะผู้ร้องสอด  คดีเฉพาะตัวโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้โอนที่ดินแก่จำเลยจึงเป็นอันยุตินั้น  ข้อนี้เมื่อปรากฎว่า  ผู้ร้องสอดผู้มีส่วนได้เสียในการนี้ยังอุทธรณ์คดีอยู่  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่บังคับเฉพาะที่เกี่ยวถึงสิทธิของผู้ร้องสอดด้วย  ดังกล่าวแล้ว  จึงหาได้ยุติไม่
สัญญาขายฝากระหว่างโจทก์จำเลยนั้นได้ทำและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ส่วนการที่โจทก์ตกลงขายที่นี้แก่จำเลยในตอนหลังนี้  เพียงแต่เป็นการทำสัญญากันเอง  ให้เกิดผลเป็นสัญญาซื้อขายที่ชอบด้วยกฎหมาย  จะมีผลอย่างมากก็เพียงเป็นสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น  เมื่อสิทธิการไถ่ถอนการขายฝากยังคงมีอยู่  การที่โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมให้ผู้ร้องสอดใช้สิทธิการไถ่ถอนที่ดินรายนี้จากจำเลย  และยอมโอนกรรมสิทธิที่ดินให้ผู้ร้อง  จึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย  หากวินิจฉัยถึงสิทธิตามที่จำเลยรับซื้อฝากไว้  ผู้ร้องสอดผู้รับโอนสิทธิจากโจทก์ก็มีสิทธิไถ่ถอนการขายฝากที่ดินจากจำเลย  และถ้าจะวินิจฉัยระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลย  ถึงการที่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ในเรื่องที่โจทก์จะขายที่พิพาทให้  สิทธิของ  ของผู้ร้องซึ่งเป็นคู่สัยญษมาก่อนก็ย่อมมาก่อน  ผู้ร้องสอดจึงมีสิทธิที่จะบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาได้ก่อนจำเลย  ทั้งระหว่างผู้ร้องสอดกับโจทก์ก็ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน  และมีคำพิพากษาของศาลให้บังคับคดีตามนั้นอยู่แล้ว  ผู้ร้องสอดจึงมีสิทธิจะขอให้ศาลบังคับคดีไปตามนั้นได้ก่อนจำเลยจะขอให้บังคับโจทก์โอนกรรมสิทธิที่พิพาทแก่จำเลย  ฯลฯ
จึงพิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์  ให้จำเลยรับไถ่ถอนการขายฝากที่พิพาทจากผู้ร้องสอด  ฯลฯ