ได้ความว่าจำเลยที่ ๑-๒ ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปแล้วมอบสัญญากู้ให้ไว้จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมา่จำเลยที่ ๑-๓-๔ ได้เดิรมาทางบ้านโจทก์แล้วจำเลยที่ ๔ คนเดียวแวะเข้าไปในบ้านโจทก์ แลพูดขอดูสัญญากู้เงินที่จำเลยที่ ๑-๒ ทำไว้ จาก น.สามีโจทก์ น.ก็หยิบสัญญากู้ออกมาให้จำเลยดู ขณะนั้นมีผู้ร้องมาทางนอกบ้านว่า ควายขาด ๆ น.จึงวิ่งไปดูแล้วจำเลยก็เอาหนังสือสัญญา ๒ ฉะบับซึ่ง น.ให้จำเลยดูซุกใส่ในผ้าที่พุง แล้วล้วงเอาหนังสืออีก ๒ ฉะบับออกมาเปลียนแทนพอ น.กลับมา จำเลยก็ส่งม้วนกระดาษนั้นกลับคืนให้ น.โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานสมคบกันปลอมหนังสือแลฐานฉ้อโกง
ศาลเดิมพิพากษาให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง ๔ คนตามมาตรา ๓๐๔
ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑-๒-๓ ได้สมคบกับจำเลยที่ ๔ กระทำความผิด แลเห็นว่าการที่จำเลยที่ ๔ ไปขอดูสัญญากู้แล้วลอบลักเอามาโดย น.มิได้รู้เห็นยินยอมอนุญาตให้นั้น เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา ๒๘๘ หาใช่ฐานฉ้อโกงตาม ม.๓๐๔ ไม่ แม้โจทก์จะมิได้ขอให้ลงโทษจำเลยในฐานนี้ก็ดีแต่ตามฟ้องโจทก์ก็บรรยายข้อความไว้ชัดเจนว่าจำเลยได้ลอบลักเอาสัญญากู้นั้นมาจาก น.แล้วเอาสัญญาปลอมเปลี่ยนไว้ให้แทน ซึ่งเป็นการแสดงข้อกล่าวหาถึงการลักทรัพย์อยู่แล้ว ทั้งจำเลยก็มิได้หลงข้อต่อสู้อย่างใด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยฐานนี้ได้ จึงพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ ๔ ฐานลักทรัพย์ตามมาตรา ๒๘๘ มีกำหนด ๑ ปี ส่วนจำเลยที่ ๑-๒-๓ ให้ปล่อยตัวไป