โจทก์ฟ้องว่า ครอบครัวโจทก์และบุคคลอื่นได้ใช้ทางในที่ดินจำเลย (ทางพิพาท เดิมและนำโคกระบือวัวเกวียนผ่านไปทำธุระกิจ และไปสู่ทางสาธารณอื่น ๆ กับกลับบ้านเป็นทางกว้างราว ๕ ศอกเศษ มาไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี โดยไม่ได้ถูกห้ามจนเป็นภาระจำยอมแล้ว โจทก์จะไปทางอื่นก็ไม่ได้ จึงเป็นทางจำเป็น เมื่อวันที่ ๘-๙ พฤษภาคม ๒๕๐๔ จำเลยได้ล้อมรั้วปิดทางเดินดังกล่าว ขอให้ศาลบังคับจำเลยเปิดรั้วและห้ามไม่ให้จำเลยหวงห้ามขัดขวางต่อไป
จำเลยปฏิเสธ ต่อสู้ว่าวัวควายโจทก์ทำให้ข้าวกล้าและคันนาเสียหาย ได้บอกให้โจทก์เดินตามริมคลองเก่าไปออกทางสาธารณหรือออกทางบ้านนายจำเนียรซึ่งเป็นที่ดินของจำเลย แล้วจำเลยจึงล้อมรั้ว โจทก์ไม่เคยผ่านนาจำเลยถึง ๑๐ ปี โจทก์เคยขอนำกระบือผ่านนอกฤดูทำนา ก็ไม่ใช่ทางกว้างดังฟ้อง เป็นเพียงคันนา จึงไม่ใช่ภาระจำยอม และโจทก์ไม่มีความจำเป็นที่จะผ่านนาจำเลย เพราะมีทางอื่นที่จะผ่านได้ ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ทางพิพาทใช้มาหลายสิบปีแล้ว ฤดูแล้งคนทั่วไป วัวควาย ล้อเลื่อน ใช้ทางพิพาทได้กว้าง ๔ ศอก ฤดูทำนาเฉพาะคนอย่างเดียวใช้ทางพิพาทกว้าง ๑ ศอก โดยไม่ต้องขออนุญาตใคร พิพากษาให้จำเลยเปิดทางพิพาทในฤดูทำนากว้าง ๑ ศอก ฤดูนอกนั้นกว้าง ๔ ศอก
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทในฤดูทำนาขอให้โจทก์นำควายผ่านได้กว้าง ๒ ศอก
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาฟังว่า เฉพาะบุคคลแล้ว ใช้ทางพิพาทเดินตลอดปี โดยประชาชนใช้ทางพิพาทมาหลายสิบปีแล้ว โดยไม่ต้องขออนุญาตใคร ทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอม และฟังว่าในฤดูทำนาโจทก์ใช้กระบือทำนาโดยยกคอกย้ายกระบือไปไว้ที่นาของโจทก์ แต่ไม่ได้ยกไปราว ๒ ปี พ.ศ.๒๕๐๒-๒๕๐๓ ดังนั้น ในฤดูทำนา พ.ศ.๒๕๐๒,๒๕๐๓ ไม่ว่าโจทก์จะได้นำกระบือผ่านนาจำเลยโดยไม่ได้ขออนุญาตจำเลยจริงหรือไม่ก็ยังไม่ถึง ๑๐ ปี ไม่เป็นเหตุให้ที่ดินจำเลย (รายพิพาท) ต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันจะเป็นเหตุให้จำเลยต้องยอมรับกรรมให้นำกระบือผ่านได้ในฤดูทำนา
ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยห้ามโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๓ นั้น ศาลฎีกาว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๓ เป็นบทบัญญัติถึงแดนแห่งกรรมสิทธิ์ และการใช้กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นเรื่องการใช้สิทธิในทรัพย์สินของตนเอง คือ ถ้าเจ้าของที่ดินได้กั้นที่ดินหรือที่ดินเป็นที่เพาะ เตรียมหว่าน ปลูก ฯ อยู่แล้ว บุคคลใดจะพาปศุสัตว์ผ่านหรือเข้าไป ฯลฯ ไม่ได้ มิฉะนั้นก็ผ่านเข้าไปได้ การผ่านหรือเข้าไปได้ตามกฎหมายมาตรานี้ แม้จะเป็นกริยาการใช้สิทธิในทรัพย์สินของผู้อื่น แต่ก็ทำให้ผู้ที่ผ่านหรือเข้าไปพ้นจากการเป็นผู้ทำละเมิดได้อย่างไรก็ตาม เจ้าของห้ามได้เสมอ เมื่อห้ามแล้วฝ่าฝืนก็ต้องตกเป็นผู้ละเมิด ถ้าเจ้าของที่ดินไม่ห้าม และการผ่านหรือเข้าไปในที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยอำนาจของผู้ผ่านหรือเข้าไปเอง ถ้าเป็นเวลา ๑๐ ปี หรือกว่าขึ้นไป ที่ดินที่ถูกผ่านหรือเข้าไปก็ต้องตกเป็นภาระจำยอม เมื่อเป็นภาระจำยอมแล้ว จำเลยก็ห้ามโจทก์ผ่านหรือเข้าไปไม่ได้
เรื่องทางจำเป็นนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีของโจทก์ไม่ใช่กรณีที่ที่ดินของโจทก์ถูก+ จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณได้ ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธินำกระบือผ่านที่ดินจำเลยดังโจทก์อ้าง
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์