ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการรับฟังข้อเท็จจริงจากคดีอาญาในคดีแพ่ง: จำเลยในคดีแพ่งต้องเป็นคู่ความในคดีอาญา หรือคดีอาญาต้องถึงที่สุดก่อน
ที่ว่าในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น หมายความว่าคดีส่วนอาญาได้ถึงที่สุดแล้วและจำเลยในคดีแพ่งก็ต้องเป็นจำเลยรายเดียวกันกับจำเลยในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้นด้วย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่านายเจริญกับพวกจำเลยฆ่านายประเวศตาย นายเจริญจำเลยกับพวกฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นายเจริญจำเลยตาย คดีส่วนตัวนายเจริญจำเลยจึงเป็นอันระงับไป เมื่อมารดาและบุตรของนายประเวศผู้ตายฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนฐานนายเจริญจำเลยละเมิด เช่นนี้ ข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งยังฟังลงไปทีเดียวไม่ได้ว่านายเจริญจำเลยมีส่วนร่วมในการฆ่านายประเวศดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังมา เพราะคดีอาญานั้นยังไม่ถึงที่สุด ศาลฎีกาอาจฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นก็ได้เมื่อเช่นนี้ ข้อเท็จจริงในข้อว่านายเจริญจำเลยมีส่วนร่วมในการฆ่านายประเวศอันจะถือตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก็ไม่มี ศาลจะพิพากษาคดีส่วนแพ่งให้ผู้รับมรดกความของนายเจริญจำเลยรับผิดฐานละเมิดไปเลยทีเดียวยังไม่ได้ ต้องให้คู่ความในคดีแพ่งนำสืบข้อเท็จจริงเช่นว่านี้กันไป
คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในคดีอาญาว่านายบุญเราและนายมินทร์(ซึ่งไม่ได้เป็นจำเลยในคดีอาญานั้นด้วยเลย)มีส่วนร่วมในการฆ่านายประเวศ ต่อมามารดาและบุตรนายประเวศผู้ตายได้เป็นโจทก์ฟ้องนายบุญเราและนายมินทร์เป็นจำเลยในคดีแพ่งเรียกค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิด เช่นนี้ ศาลจะรับฟังข้อวินิจฉัยส่วนอาญาดังกล่าวแล้วของศาลชั้นต้นมาเป็นข้อเท็จจริงอันจะถือตามในคดีแพ่งนี้หาได้ไม่เพราะนายบุญเราและนายมินทร์ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวนั้น