โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยรับราชการเป็นทหารประจำการสังกัด ร.๑ รอ.  จังหวัดพระนคร  ได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายเกี่ยวพันกับพวกอีก ๑ คน  คือนายเดช  ลอยดารา  ซึ่งเป็นพลเรือนที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง  เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๑๐  เวลาประมาณ ๑๙.๐๐  นาฬิกาเศษ  จำเลยได้ขับรถยนต์ตรากงจักรสีแดง หมายเลข ๓๔๘๙๘  แล่นไปตามถนนเพชรเกษมโฉมหน้าจากจังหวัดนครปฐมจะไปจังหวัดพระนคร  ส่วนนายเดช  ลอยดารา  ที่หลบหนีได้ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลข ก.ท.ด. ๒๕๖๒๐  แล่นไปตามถนนเพชรเกษมโฉมหน้าจากจังหวัดพระนครจะไปยังจังหวัดนครปฐม  จำเลยกับนายเดช  ลอยดารา  ต่างขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังด้วยความเร็วสูง  ไม่ลดความเร็วของรถเมื่อจะแซงสวนทางกัน  เป็นเหตุให้รถของจำเลยเฉี่ยวชนกับรถของนายเดช  ลอยดารา  เป็นเหตุให้ผู้โดยสารที่มาในรถของจำเลยถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส  ทั้งนี้เนื่องมาจากความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยและนายเดช  เหตุเกิดที่ตำบลท่าตำหนัก  อำเภอนครชัยศรี  จังหวัดนครปฐม  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐, ๓๙๑  พระราชบัญญัติจราจรทางบก  พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๒๙, ๖๖  พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๓)  พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๔  พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๔)  พ.ศ. ๒๕๐๘  มาตรา ๗, ๑๓  กับให้ถอนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของจำเลยด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า  พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยประมาท  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  โจทก์ฟ้องผิดศาล  ศาลพลเรือน  (ศาลจังหวัดนครปฐม)  ไม่มีอำนาจรับฟ้องไว้พิจารณา  เพราะคดีของโจทก์หาใช่เรื่องที่จำเลยทำผิดเกี่ยวพันกับนายเดชซึ่งเป็นพลเรือน  คดีไม่เข้าข้อยกเว้นที่ศาลพลเรือนจะรับไว้พิจารณาได้  พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น  จำหน่ายคดี
โจทก์ฎีกาว่าคดีโจทก์เข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร  พ.ศ. ๒๔๙๘   มาตรา ๑๔ (๒)  ฟ้องยังศาลพลเรือนได้ตามมาตรา ๑๕ วรรคแรก
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร  พ.ศ. ๒๔๙๘  มาตรา ๑๔ บัญญัติว่า "คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารคือ
(๑)  คดีที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน
(๒)  คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน
(๓)  คดีที่ต้องดำเนินในศาลคดีเด็กและเยาวชน
(๔)  คดีที่ศาลทหารเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร"
และมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง  บัญญัติว่า  "คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร  ให้ดำเนินคดีในศาลพลเรือน"  ฉะนั้น  ถ้าคดีนี้ตกอยู่ในกรณีใดกรณีหนึ่งใน ๔ ประการของมาตรา ๑๔ แล้ว  ก็ต้องถือว่าเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร  อันมีผลตามมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง  คือต้องดำเนินคดีส่งฟ้องต่อศาลพลเรือน
ปัญหามีว่า  การที่โจทก์บรรยายฟ้องมาจะเป็นกรณีที่โจทก์จะฟ้องต่อศาลจังหวัดนครปฐม หรืออีกนัยหนึ่ง  เป็นคดีที่ตกอยู่ในมาตรา ๑๔  แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร  พ.ศ. ๒๔๙๘ หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า  ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ก็บรรยายว่า  จำเลยกระทำผิดโดยประมาท  และความตายของพลทหารประดิษฐ์เกิดขึ้นเพราะความประมาทของพลเรือนที่หลบหนีไปซึ่งขับรถโดยประมาทกับจำเลยซึ่งขับรถโดยประมาท  เป็นเหตุให้เกิดเฉี่ยวและชนกัน  กรณีจึงเห็นได้ว่าถ้าไม่เป็นเพราะจำเลยและพลเรือนกระทำผิดโดยประมาทด้วยกัน  ความตายของผู้ตายก็เกิดขึ้นไม่ได้  ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่  เห็นว่า  กรณีเช่นนี้ตกอยู่ในบทบัญญัติมาตรา ๑๔ (๑)  ที่ว่า  "คดีที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน"  คำว่า  "ด้วยกัน"  ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องที่ทหารกับพลเรือนได้ร่วมกันกระทำความผิดตามมาตรา ๘๓  แห่งประมวลกฎหมายอาญาเสมอไป  แม้ทหารจะกระทำผิดฐานประมาท  และพลเรือนก็กระทำผิดฐานประมาทแล้วเป็นเหตุให้คนถึงแก่ความอย่างเช่นคดีนี้  ก็เป็นเรื่องที่  "กระทำผิดด้วยกัน"  ด้วย  เมื่อคดีนี้เป็นคดีตกอยู่ในบังคับแห่งมาตรา ๑๔ (๑)  แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร  พ.ศ. ๒๔๙๘  จึงเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร  ต้องดำเนินคดีนี้ต่อศาลพลเรือน  ตามมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่