โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมหนังสือสำคัญในราชการและฉ้อโกง ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 222,223, 224, 225, 304 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญาพ.ศ. 2497 (ฉบับที่ 5) มาตรา 3 ขอให้คืนของกลางให้แก่เจ้าทรัพย์และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 298,903 บาท 92 สตางค์ แก่ผู้เสียหาย
จำเลยปฏิเสธและว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณากับคดีที่นายวิเชียรเป็นจำเลยมีมีใจความในฟ้องเช่นเดียวกับนายสนั่น จำเลยถูกฟ้อง เพราะเป็นกรณีเรื่องเดียวกัน แต่จับจำเลยได้คนละคราวแล้ววินิจฉัยว่าหลักฐานโจทก์ไม่มั่นคงพอที่จะชี้ขาดลงโทษจำเลยทั้งสองสำนวนตามฟ้องและเห็นว่าคดีเฉพาะนายสนั่นจำเลยนี้ ขาดอายุความฟ้องร้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยทั้งสองทำผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 แต่คดีเฉพาะนายสนั่นจำเลยนี้ขาดอายุความฟ้องร้อง จึงพิพากษาแก้ศาลชั้นต้นว่าให้จำคุกนายวิเชียรจำเลย 2 ปีตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 กับให้คืนผ้าดิบหรือใช้ราคา298,903 บาท 92 สตางค์ แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า คดีเฉพาะนายสนั่นจำเลยไม่ขาดอายุความ
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วฟังว่า นายสนั่นจำเลยต้องหาว่าได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2492 และได้มีการยื่นฟ้องนายสนั่นจำเลยร่วมกับจำเลยอื่นต่อศาลแขวงพระนครใต้เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2492 ดังนั้น นับแต่วันกระทำผิดจนถึงวันนายสนั่นถูกฟ้องต่อศาลจึงอยู่ภายในกำหนดอายุความ 5 ปี ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 78(3) เพราะความผิดฐานฉ้อโกงตาม มาตรา 304 แห่งกฎหมายลักษณะอาญามีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเพียง 3 ปี แต่เรื่องนี้ศาลแขวงพระนครใต้ได้พิพากษายกฟ้อง อ้างว่าคดีเกินอำนาจเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2492 นายสนั่นจำเลยกับพวกอุทธรณ์อ้างว่า ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ และคดีเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่จะได้มีการพิจารณาพิพากษาในศาลแขวง แต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์นายสนั่นจำเลยได้ร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาว่าศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ และในคำพิพากษานี้ได้อนุญาตให้นายสนั่นจำเลยถอนฟ้องอุทธรณ์ได้ นายสนั่นจำเลยและโจทก์ได้ฟังคำพิพากษาและคำสั่งศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2493 ครั้นวันที่ 13 พฤษภาคม 2498 โจทก์จึงยื่นฟ้องนายสนั่นจำเลยต่อศาลอาญา ศาลอาญาพิพากษาว่า นับแต่วันที่ศาลแพ่งพิพากษาคดีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2492 มาจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2498 คดีโจทก์เกิน 5 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ปัญหาข้อวินิจฉัยมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่
ศาลฎีกาได้มีมติโดยที่ประชุมใหญ่ว่า เรื่องนี้ แม้ศาลแขวงพระนครใต้จะได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในวันที่ 29 ธันวาคม 2492 แล้วก็ดี แต่นายสนั่นจำเลยยังอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแขวงพระนครใต้อยู่ ดังนั้น ต้องถือว่า คดีที่นายสนั่นจำเลยถูกฟ้องนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ซึ่งตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 79 ถือว่าอายุความยังสะดุดหยุดอยู่ตลอดมาจนถึงวันที่นายสนั่นจำเลยได้ฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ คือวันที่ 16 ตุลาคม 2493 อนุญาตให้นายสนั่นจำเลยถอนอุทธรณ์ได้ ฉะนั้น ตามนัยแห่งกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 79 และ 85 ตั้งแต่วันที่โจทก์และนายสนั่นจำเลยได้ฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ คือวันที่ 16 ตุลาคม 2493มาจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2498 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ยื่นฟ้องนายสนั่นจำเลยต่อศาลอาญา จึงยังหาล่วงพ้นกำหนดเวลา 5 ปี ไม่คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า นายสนั่นจำเลยนี้ได้สมคบกับนายวิเชียรกระทำผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ ต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 304 ควรได้รับโทษเช่นเดียวกับนายวิเชียร จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกนายสนั่นจำเลย 2 ปี ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 และให้นายสนั่นจำเลยร่วมกับนายวิเชียรคืนหรือใช้ราคาผ้าดิบ 298,903 บาท 92 สตางค์ แก่ผู้เสียหาย