โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันทำร้ายจำเลยที่ 2โดยใช้มือตบใบหน้าเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย กับได้ทำร้ายนางสะเราะผู้เสียหาย โดยใช้ท่อนไม้ตีหลายครั้งที่ศีรษะและมุมตาจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ส่วนจำเลยที่ 2 ได้ทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 โดยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงที่ช่องท้องเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 295, 297 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) จำคุก 3 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ของกลางริบ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด2 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ในปัญหาว่า จำเลยที่ 1 กระทำไปด้วยเหตุบันดาลโทสะหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะจำเลยที่ 1 นายเกื้อกับพวกที่มาในงานเลี้ยงบ้านนางละเมียดเกิดความไม่พอใจที่จำเลยที่ 2 และสามีไปต่อว่านายเกื้อที่ขับรถจักรยานยนต์เข้ามาในซอย แล้วจำเลยที่ 1 กับพวกมาที่หน้าบ้านของจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 1 เข้าตบจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ต่อสู้ จำเลยที่ 1 กับพวกรุมทำร้ายจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงจำเลยที่ 1 โจทก์ร่วมตะโกนให้เลิกตีกันจำเลยที่ 1 เอาไม้จากบริเวณบ้านของโจทก์ร่วมตีถูกบริเวณหน้าของโจทก์ร่วม 1 ที โจทก์ร่วมสลบไป จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะจำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อขึ้น โดยจำเลยที่ 1พาพวกไปทำร้ายจำเลยที่ 2 เหตุที่จำเลยที่ 2 กับสามีด่าว่านายเกื้อ หาใช่เป็นเหตุที่ไม่เป็นธรรมอันเกิดแก่จำเลยที่ 1 ไม่และเมื่อโจทก์ร่วมมารดาของจำเลยที่ 2 ร้องห้ามปราม จำเลยที่ 1กลับใช้ไม้ตีโจทก์ร่วมจนสลบทั้ง ๆ ที่โจทก์ร่วมมิได้เกี่ยวข้องด้วยเลย จึงไม่ใช่เป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72
พิพากษายืน