คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงขอบังคับคดีแล้วนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินรวม 3 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้เป็นเงิน777,625 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่ยึดมิใช่ทรัพย์ของจำเลย แต่เป็นของผู้ร้องซึ่งซื้อมาจากนายประจักษ์ เจียรพันธ์พงษ์ ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมิน
ผู้ร้องยื่นคำแถลงว่า ผู้ร้องซื้อทรัพย์พิพาทมาในราคา 400,000บาท ดังนั้นคดีร้องขัดทรัพย์จึงมีทุนทรัพย์เพียง 400,000 บาท ขอชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยืนยันให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินภายใน 7 วัน มิฉะนั้นไม่รับคำร้องแต่ผู้ร้องไม่ยอมชำระ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องควรเสียค่าขึ้นศาลเท่าราคาทุนทรัพย์ที่ผู้ร้องซื้อทรัพย์พิพาทมาเท่านั้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนค่าธรรมเนียมทั้งหมดให้แก่ผู้ร้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่ผู้ร้องฎีกาว่า การคำนวณทุนทรัพย์เพื่อเสียค่าขึ้นศาลถือเอาราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประเมินไว้ขณะโจทก์นำยึดทรัพย์เป็นการไม่ถูกต้อง น่าจะถือเอาราคาทุนทรัพย์ที่คู่ความตกลงกัน หรือถือเอาตามราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินนั้น เห็นว่า การคำนวณทุนทรัพย์เพื่อเสียค่าขึ้นศาลนั้น ต้องคำนวณตามราคาที่แท้จริงของทรัพย์นั้น ไม่ใช่คำนวณตามราคาที่คู่ความตกลงกันหรือตามราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งมิใช่ราคาที่แท้จริง การคำนวณทุนทรัพย์เช่นนี้ย่อมเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดว่าราคาที่แท้จริงคือราคาเท่าใด สำหรับคดีนี้ที่ผู้ร้องฎีกาว่าราคาทรัพย์พิพาทคือ 400,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ร้องซื้อมาจากนายประจักษ์ไม่ใช่ราคา 777,625 บาท ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้นั้น เห็นว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ยึดได้กระทำโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับของทางราชการซึ่งกำหนดตามราคาปานกลางที่มีการซื้อขายกันตามท้องตลาดในขณะทำการยึด เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาทรัพย์ที่ยึดแล้ว โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียก็มิได้โต้แย้งคัดค้านประการใด ย่อมถือได้ว่า ราคาที่แท้จริงของทรัพย์ที่ยึดน่าจะเป็นราคา 777,625 บาทตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ ไม่น่าจะเป็นราคา 400,000 บาทตามที่ผู้ร้องอ้างเพราะผู้ร้องกับนายประจักษ์จะได้ซื้อขายทรัพย์พิพาทกันจริงและในราคา 400,000 บาท หรือไม่ยังไม่ปรากฏชัดแจ้งการที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์สินที่พิพาท 777,625 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้นั้น จึงเป็นการชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน.