โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยนำดินที่ถมล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 13909 ตำบลสามกอ อำเภอเสนา (เสนากลาง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของโจทก์ออกไปและห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวของโจทก์
จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินในโฉนดที่ดินของโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่า ข้อ 1 จำเลยยอมรับว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่13909 ตำบลสามกอ อำเภอเสนา (เสนากลาง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) ทางด้านทิศใต้ เนื้อที่ประมาณ 51 ตารางวา เป็นของโจทก์ข้อ 2 โจทก์และจำเลยตกลงว่าจะไม่ดำเนินการปิดกั้นรั้วหรือปลูกสร้างอาคารใด ๆ ลงในที่ดินตามข้อ 1 หรือวางสิ่งกีดขวางใด ๆทั้งสิ้น หรือปลูกต้นไม้ หากโจทก์หรือจำเลยปิดกั้นหรือทำการใด ๆดังกล่าว ยินยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวได้ทันที และโจทก์ยินยอมให้จำเลยจัดทำถนนในที่ดินดังกล่าวได้โดยจำเลยจะแจ้งให้โจทก์ทราบ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
โจทก์อุทธรณ์ว่า ทนายโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ตรงกับเจตนาอันแท้จริงของโจทก์ เป็นการยกที่ดินของโจทก์ให้จำเลยทำถนนโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนใด ๆ จึงเป็นการสมยอมกับจำเลยฉ้อฉลโจทก์ และเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 35 คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง ขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและพิจารณาคดีใหม่
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138 วรรคสอง บัญญัติว่า "ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้ (1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล (2) เมื่อคำพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน"โจทก์ฎีกาประการแรกว่า สัญญาประนีประนอมฉบับดังกล่าวทนายโจทก์กับจำเลยร่วมกันฉ้อฉลโจทก์เพราะดำเนินการกันอย่างรวดเร็วและมิได้แจ้งให้ตัวโจทก์ทราบ เห็นว่า โจทก์แต่งตั้งให้ทนายโจทก์มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยทนายโจทก์ย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจเต็มที่ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่าข้อความที่ตกลงกับจำเลยนั้นเหมาะสมไม่ได้เสียเปรียบ โดยทนายโจทก์มีอำนาจต่อรองและจะไม่ยอมตกลงก็ได้ถ้าเห็นว่าโจทก์เสียเปรียบ ทนายโจทก์ไม่มีความจำเป็นต้องแจ้งให้โจทก์ทราบ และการดำเนินคดีอย่างรีบด่วนย่อมเป็นผลดีแก่โจทก์อีกด้วย หาใช่เป็นเหตุให้ทนายโจทก์ฉ้อฉลแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น โจทก์จะอ้างว่าเป็นการทำไปโดยทนายโจทก์กับจำเลยฉ้อฉลโจทก์หาได้ไม่ ที่โจทก์ฎีกาอีกข้อว่าข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. 2505 มาตรา 35 นั้น เห็นว่า ตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า "ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์และที่ศาสนสมบัติกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี" ย่อมหมายถึงว่าเมื่อมีการบังคับคดีแล้วจะต้องมีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่กฎหมายห้ามยึดหรืออายัด การที่ทนายโจทก์และจำเลยตกลงกันว่าให้จำเลยจัดทำถนนในที่ดินพิพาทโดยจำเลยต้องแจ้งให้โจทก์ทราบข้อตกลงดังกล่าวหากโจทก์บิดพลิ้ว จำเลยไม่จำต้องยึดหรืออายัดที่ดินพิพาทเพื่อการบังคับคดีแต่อย่างใด ข้อตกลงของทนายโจทก์กับจำเลยข้อนี้จึงมิได้ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ข้ออ้างของโจทก์ทุกข้อจึงมิได้เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138 วรรคสอง ในอันที่โจทก์จะใช้สิทธิอุทธรณ์ได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์มานั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน