โจทก์ฟ้องว่า  คณะกรรมการ ก.ส.ส. ไกล่เกลี่ยให้จำเลยที่ดินคืนให้โจทก์ วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๗  โจทก์จำเลยตกลงกันตามคำเปรียบเทียบว่า  จำเลยตกลงขายที่ดินคืนให้โจทก์ในราคา ๘,๐๐๐ บาท  ภายใน ๑ ปี  วันครบกำหนดคือวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๘  โจทก์นำเงิน ๘,๐๐๐ บาทไปชำระให้จำเลยที่อำเภอ  แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ไปรับ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าว  แล้วจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ตามข้อตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินคืนภายใน ๑ ปี  มีเงื่อนไขว่าถ้าพ้นกำหนด ๑ ปี (๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘)  ถ้ายังไม่มีการซื้อขายให้ยกเลิกข้อตกลง  โจทก์นำเงินมาชำระในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๘  ล่วงเลยระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้ว  โจทก์ก็ไม่มีสิทธิบังคับจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามสัญญาโจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือเอาวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘ เป็นวันสิ้นสุดแห่งระยะเวลา ๑ ปี  จำเลยขอซื้อคืนในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๘  จำเลยจึงไม่มีความผูกพันที่จะต้องขายคืน  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ขอซื้อคืนวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๘  ยังอยู่ภายในกำหนดเวลา ๑ ปี  โจทก์มีสิทธิ์ซื้อคืนได้  พิพากษากลับบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คระกรรมการ ก.ส.ส.ไกล่เกลี่ย  โจทก์จำเลยตกลงยินยอมตามคำเปรียบเทียบของคณะกรรมการ  ปรากฏตามบันทึกเปรียบเทียบที่โจทก์จำเลยลงชื่อไว้เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๗  ซึ่งมีข้อความว่า (๑) ให้นายปักชุน  ขายที่ดินคืนให้นายทองคำในราคา ๘,๐๐๐ บาท ภายในกำหนด ๑ ปี (๒) ในปีนี้ให้นายทองคำเข้าทำกินในที่ดินได้โดยไม่มีค่าเช่า (๓) ถ้าพ้นกำหนด ๑ ปี (๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘)  ถ้ายังไม่มีการซื้อขายที่ดินคืนก็ให้ยกเลิกข้อตกลง  โจทก์นำเงินไปขอซื้อที่ดินคืนในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๘
ปัญหามีว่า  โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินคืนหรือไม่  ศาลฎีกาเห็นว่าข้อความในบันทึกคำเปรียบเทียบข้อ ๓ ที่ว่า ถ้าพ้นกำหนด ๑ ปี (๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘) ถ้ายังไม่มีการซื้อขายที่ดินคืน  ก็ให้ยกเลิกข้อตกลง  เมื่ออ่านประกอบกับข้อความในข้อ ๑  ที่กำหนดให้จำเลยขายที่ดินคืนให้โจทก์ภายในกำหนด ๑ ปีแล้ว  เห็นได้ว่า การที่ระบุข้อความในวงเล็บว่า "๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘" ต่อท้ายด้วยเจตนาที่จะกำหนดวันสิ้นสุดแห่งระยะเวลา ๑ ปี ให้เป็นที่แน่นอน  เพราะหากมีเจตนาเพียงจะถือเอาสิ้นสุดแห่งระยะเวลา ๑ ปี ก็ไม่จำต้องระบุข้อความดังกล่าวไว้อีก  ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะคณะกรรมการคำนวณระยะเวลาผิดพลาดดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัย  จึงเป็นกรณีที่ได้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดของกำหนดเวลา ๑ ปีไว้เป็นวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘  โดยนิติกรรมต้องด้วยข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๕๖  จะนำวิธีการกำหนดนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๘, ๑๕๙ มาใช้บังคับไม่ได้  ต้องถือว่า วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘  เป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาที่โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินคืน  ฉะนั้น เมื่อโจทก์นำเงินไปซื้อที่ดินคืนจากจำเลยในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๘  โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะซื้อที่ดินคืน
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์