โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 91, 188, 335, 269/5, 269/7 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาบัตรเอทีเอ็ม 4 ใบ เป็นเงิน 2,000 บาท และคืนเงิน 108,000 บาท แก่ผู้เสียหาย และบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1/2551 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงราย และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 521/2551 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 (ที่ถูก มาตรา 188 (เดิม)), 335 (1) วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา 335 (1) วรรคแรก (เดิม)) และมาตรา 269/5 ประกอบมาตรา 269/7 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนกับฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 7 กระทง จำคุก 14 ปี รวมจำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน บวกโทษจำคุก 1 ปี ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1/2551 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงราย เป็นจำคุก 8 ปี 6 เดือน ส่วนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 521/2551 ของศาลชั้นต้น มีการนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีดังกล่าวบวกกับโทษจำคุกในคดีอื่นแล้ว จึงไม่อาจนำมาบวกโทษได้อีก ยกคำขอในส่วนนี้ และให้จำเลยคืนบัตรเอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 3 ใบ กับบัตรเอทีเอ็มธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) 1 ใบ และคืนเงิน 108,000 บาท แก่ผู้เสียหาย หากคืนบัตรเอทีเอ็มไม่ได้ให้ใช้เงิน 2,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นเพื่อเบิกถอนเงินโดยมิชอบ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 1 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับจากวันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษให้จำเลยฟัง และให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้ตลอดระยะเวลาที่รอการลงโทษโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง ตลอดระยะเวลาที่คุมความประพฤติ ให้จำเลยศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพสุจริตที่เป็นกิจจะลักษณะ กับห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับสิ่งมึนเมาและยาเสพติดให้โทษทุกชนิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 144 (1) ยกคำขอบวกโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1/2551 ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงราย เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมมิใช่ความผิดกรรมเดียวกันดังที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยมา ทั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษก็ไม่อาจวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวได้เพราะเป็นข้อกฎหมายที่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้คดีในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคหนึ่ง และตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 180 และ 182 นั้น เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมนั้นเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้มิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างมาโดยชอบในศาลชั้นต้น จำเลยก็ยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 180 และ 182 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยในข้อหาใช้บัตรเอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน 3 ใบ ที่ลักมาเบิกถอนเงินสดจากตู้เบิกถอนอัติโนมัติของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริเวณสามแยกสันทรายน้อย ตำบลสันทรายน้อย อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ รวม 7 ครั้ง เป็นความผิดหลายกรรมนั้น จำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิดตามฟ้องของโจทก์ จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องมาว่า จำเลยใช้บัตรเอทีเอ็มดังกล่าวเบิกถอนเงินสดจากตู้เบิกถอนเงินสดอัตโนมัติของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) รวม 7 ครั้ง ตามฟ้องจริง ซึ่งแต่ละครั้งจำเลยจะใช้บัตรแต่ละใบใน 3 ใบ เบิกเงินแต่ละจำนวนซึ่งบางครั้งไม่เท่ากัน ตามที่มีเงินอยู่ในบัญชีของบัตรแต่ละใบ โดยใช้ตู้เบิกถอนเงินต่างธนาคารกันด้วยและย่อมต่างเวลากัน ลักษณะการกระทำผิดดังกล่าวจึงไม่อาจถือว่าเป็นการกระทำวาระเดียวกันได้ จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระแล้ว มิฉะนั้นจะไม่ได้เงินสดไปถึง 108,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า การที่จำเลยใช้บัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหายเบิกถอนเงินจากตู้เบิกถอนเงินอัตโนมัติ 7 ครั้ง ในวันเดียวกัน ในบริเวณและลักษณะที่เหมือนกัน ในช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกันไปทุกครั้ง แสดงให้เห็นว่า จำเลยใช้บัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหายเบิกถอนเงินโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้ไปซึ่งเงินทั้งหมดในบัญชีของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจตนาเดียว หาได้มีเจตนาหลายเจตนาที่จะให้เกิดผลของการกระทำต่างกรรมเป็นคราว ๆ จึงฟังว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น จำเลยมีความผิด 7 กรรมตามฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิเคราะห์พฤติกรรมของจำเลย ความตั้งใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของจำเลย ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้ต้องหาของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่และรายงานสรุปการประเมินและการให้คำปรึกษาแนะนำของศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำและประสานการประชุมเพื่อจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็ก เยาวชนและครอบครัวของศาลชั้นต้น แล้วเชื่อว่าจำเลยยังอยู่ในวิสัยที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ และให้โอกาสแก่จำเลยโดยการรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติไว้ตามระยะเวลาที่เหมาะสม นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยทุกประการ แต่การกำหนดโทษข้อหานี้ซึ่งเบิกเงินได้ครั้งละไม่เกิน 20,000 บาท ศาลล่างทั้งสองลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งแล้ว ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี นั้น หนักเกินไปจึงควรกำหนดใหม่ให้เหมาะสม
พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นเพื่อเบิกถอนเงินโดยมิชอบ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดรวม 7 กรรม จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 7 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 3 ปี 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 3 ปี 12 เดือน ส่วนการรอลงโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ