โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษา ลงโทษปรับ 2,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 31 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางสาวรัตนา นาคทิพย์วรรณ์ ผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความ เห็นว่าแม้ผู้เสียหายจะเบิกความในทำนองว่าไม่รู้จักคุ้นเคยกับจำเลย แต่ก็ได้ความจากผู้เสียหายเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ขณะที่พยาน นางสาวนวลวรรณและจำเลยโดยสารรถแท็กซี่ไปร้านธนบุรีคาเฟ่ พยานนั่งคู่กับจำเลยที่เบาะหลังและให้จำเลยถือโทรศัพท์ เคลื่อนที่ให้ การที่ผู้เสียหายกับจำเลยนั่งคู่กันที่เบาะหลังโดยให้นางสาวนวลวรรณซึ่งผู้เสียหายอ้างว่าจำเลยเข้ามาที่โต๊ะเพื่อจีบนางสาวนวลวรรณนั่งที่เบาะหน้า ประกอบกับได้ความตามบันทึกคำให้การของนางสาวนวลวรรณเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจัดทำขึ้นในวันเกิดเหตุว่า ขณะเดินเข้าไปในผับที่ชั้น 3 ของร้านธนบุรีคาเฟ่ จำเลยเดินจับเอวผู้เสียหายเข้าไปย่อมบ่งชี้ว่า ผู้เสียหายและจำเลยพูดคุยกันจนรู้จักคุ้นเคยกันตั้งแต่อยู่ที่ร้าน ป.กุ้งเผา จนถึงร้านเกิดเหตุ อีกทั้งผู้เสียหายยังให้ความสนิทสนมและไว้ใจจำเลยให้ช่วยถือโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้ตั้งแต่โดยสารรถแท็กซี่มาจนถึงร้านที่เกิดเหตุ แสดงให้เห็นว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายอยู่กับจำเลยเป็นเวลานานเพียงพอที่หากจำเลยมีเจตนาทุจริตต้องการเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายไปจริง จำเลยก็คงไม่รอมากระทำการในผับซึ่งเป็นสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ทั้งยังมีพนักงานบริการและพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำอยู่ตามจุดต่าง ๆ ซึ่งยากที่จะเอาไปและหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย กรณีอาจเป็นไปได้ว่า ที่จำเลยดึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายไปจากกระเป๋ากระโปรงแล้วโยนทิ้งที่ชานพักบันไดไปนั้น ก็เพราะเกิดจากอารมณ์โกรธที่ได้ยินเสียงผู้ชายโทรศัพท์เข้ามาตามที่จำเลยนำสืบ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังว่า จำเลยเอาโทรศัพท์ เคลื่อนที่ของผู้เสียหายไปโดยเจตนาทุจริตเพื่อต้องการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายมาเป็นของตนอันจะเป็นความผิดตามฟ้อง แต่อย่างไรก็ตาม การที่จำเลยโยนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายลงไปที่ชานพักบันได จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายอาจจะเกิดความเสียหายได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายได้รับความเสียหายอย่างไรตามที่ผู้เสียหายเบิกความ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งแม้โจทก์จะมิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ก็ตาม แต่ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ก็มีความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์รวมอยู่ด้วย จึงถือไม่ได้ว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยหลงต่อสู้ ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามทำให้เสียทรัพย์ตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน