โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ค่าปรับกรณีจำหน่ายหรือสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่ำกว่าคำรับรองจำนวน 1,302,672.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน นับแต่วันที่ 16 กันยายน 2552 ซึ่งเป็นวันผิดนัดชำระหนี้จนถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน 292,667.13 บาท รวมเป็นเงิน 1,595,339.83 บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน1,302,672.70 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ค้างชำระจำนวน 1,052,801.57 บาท ให้จำเลยชำระค่าปรับในกรณีผิดนัดชำระหนี้ค่าซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดชำระหนี้จนถึงวันชำระหนี้บางส่วน, วันชำระหนี้ครบถ้วนในเช็คแต่ละฉบับจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,548,125.65 บาท ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,052,801.57 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันจำเลยชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ค่าปรับกรณีซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่ำกว่าคำรับรองที่ต้องชำระจำนวน 651,336.35 บาท และให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมค้างชำระจำนวน1,052,801.57 บาท กับให้จำเลยชำระหนี้ค่าปรับกรณีผิดนัดชำระค่าซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดชำระ (วันที่ลงในเช็คแต่ละฉบับ) จนถึงวันชำระหนี้บางส่วน วันชำระหนี้ครบถ้วนในเช็คแต่ละฉบับจนถึงวันฟ้อง แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินเงินจำนวน 1,548,125.65 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 30,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า หนี้ค่าปรับยอดซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่อเดือนต่ำกว่าจำนวนที่จำเลยได้ให้คำรับรองไว้ในสัญญา นับแต่งวดเดือนมกราคม 2539 ถึงงวดเดือนมกราคม 2545 จำนวน 1,302,672.70 บาท ตามข้อ 1.2 ของสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นเบี้ยปรับอันศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 หรือไม่ เห็นว่า ระหว่างเดือนมกราคม 2539 ถึงเดือนมกราคม 2545 จำเลยไม่สามารถซื้อหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมได้ตามจำนวนที่ได้ให้คำรับรองไว้ในสัญญา จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อโจทก์ตามข้อตกลงในสัญญาดำเนินการสถานีบริการและสัญญาผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 22 สิงหาคม2551 โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จึงทำให้หนี้เดิมระงับไปและเปลี่ยนมาเป็นหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแทน ซึ่งตามสัญญาดังกล่าวข้อ 1.2 จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าปรับของยอดซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่อเดือนต่ำกว่าจำนวนที่จำเลยได้ให้คำรับรองไว้ในสัญญาจำนวน 1,302,672.70 บาท ดังรายละเอียดที่ปรากฏและหนังสือรับสภาพความผิด จำนวนเงินดังกล่าวถือว่าเป็นค่าเสียหายอันจำเลยยอมรับผิดชดใช้แก่โจทก์ ถือว่าเป็นมูลหนี้เกี่ยวกับค่าเสียหายตามที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความแจ้งชัดแล้ว มิใช่ค่าเสียหายที่คู่ความตกลงกันไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะมีการไม่ชำระหนี้ จึงมิใช่เบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 จำเลยจึงต้องรับผิดในค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์ตามจำนวน 1,302,672.70 บาท ที่ตกลงกันไว้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษามาในข้อนี้นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับและดอกเบี้ยต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อโจทก์หรือไม่และเพียงใด เห็นว่า ดังที่ได้วินิจฉัยมาในประเด็นข้างต้นแล้วว่า โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จึงทำให้หนี้เดิมระงับไป และเปลี่ยนมาเป็นหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแทน ซึ่งโจทก์จำเลยได้ตกลงกันไว้ชัดแจ้งในจำนวนหนี้ค่าปรับของยอดซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่อเดือนต่ำกว่าจำนวนที่จำเลยได้ให้คำรับรองไว้ในสัญญาจำนวน 1,302,672.70 บาท ตามหนังสือรับสภาพความผิด แต่ในส่วนที่เป็นเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 12 ต่อปีของหนี้ค่าซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมค้างชำระจำนวน 1,052,801.57 บาท ตามความในตอนท้ายของข้อ 1.1 ของสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์และจำเลยมิได้ตกลงหรือกำหนดเบี้ยปรับดังกล่าวไว้เป็นจำนวนที่แน่นอนแจ้งชัด ในขณะที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเหมือนเช่นเบี้ยปรับกรณีตามข้อ 1.2 ของสัญญาประนีประนอมยอมความจึงยังถือไม่ได้ว่า จำเลยได้ยอมรับเอาเบี้ยปรับจำนวน 1,548,125.65 บาท ตามตารางคำนวณเบี้ยปรับ อันเป็นการคำนวณเบี้ยปรับนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องว่าเป็นหนี้เบี้ยปรับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบเบี้ยปรับตามสัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนนี้ให้แจ้งชัด จึงไม่กำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้แก่โจทก์ สำหรับในส่วนที่เป็นค่าเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน ของต้นเงินที่ยังไม่ชำระตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 3 นั้น เห็นว่า หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คือ หนี้ค่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 1,052,801.57 บาท ตามสัญญาข้อ 1.1 และหนี้ค่าปรับยอดซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่อเดือนต่ำกว่าจำนวนที่จำเลยได้ให้คำรับรองไว้ในสัญญาจำนวน 1,302,672.70 บาท ตามสัญญาข้อ 1.2 เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลงของสัญญาข้อ 3 ที่จำเลยตกลงชำระเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน จึงเป็นการที่จำเลยสัญญาแก่โจทก์ไว้ล่วงหน้าว่า จำเลยจะชดใช้ค่าเสียหายกรณีที่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ จึงเป็นเบี้ยปรับอันศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นว่า เบี้ยปรับอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน ดังกล่าวนั้นสูงเกินส่วนและเป็นการซ้ำซ้อนกับดอกเบี้ยผิดนัดที่ศาลมีอำนาจพิพากษาให้แก่โจทก์ได้กรณีเป็นหนี้เงิน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยรับผิดเบี้ยปรับกรณีผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของหนี้ค่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 1,052,801.57 บาท และเบี้ยปรับผิดนัดอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของหนี้ค่าปรับยอดซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่อเดือนต่ำกว่าจำนวนที่จำเลยได้ให้คำรับรองไว้ในสัญญาจำนวน 1,302,672.70 บาท ด้วย สำหรับเบี้ยปรับในส่วนอื่นนอกจากนี้เป็นการซ้ำซ้อนกับที่กำหนดมาแล้วจึงไม่กำหนดให้อีก อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 1,302,672.70 บาท พร้อมเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 กันยายน 2552 และให้จำเลยชำระเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวน 1,052,801.57 บาทนับแต่วันที่ 16 กันยายน 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ