โจทขออายัติทรัพย์ของจำเลยก่อนคำพิพากสาสาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งยกฟ้อง โจทอุทธรน์ สาลอุธรน์เห็นว่า ขณะที่สาลชั้นต้นมีคำสั่ง ยังไม่มีการโอนโฉนดกัน คือยังมีชื่อสามีจำเลยหยู่ จึงฟังว่าทำการโอนกันมาแล้วดังคำสั่งสาลเดิมไม่ได้ จึงสั่งให้ไต่สวนแล้วสั่งใหม่
สาลชั้นต้นนัดไต่สวน โจทยื่นคำร้องเพิ่มเติมว่า ระหว่างที่โจทอุธรน์คำสั่ง จำเลย กับพวก ในถานะผู้จัดการมรดกนายสุทธิโสดาบันลุ ได้เอาโฉนดที่ขออายัตินี้ไปจำนองบริสัตธนาคารไทย สาลสอบโจท โจทว่ามีความประสงค์ให้สาลสั่งอายัติเพื่อมิให้จำเลยโอนหรือเพิ่มการจำนองสาลสืบโจทปากหนึ่งแล้วถามว่ามีพยานที่จะสืบว่าจำเลยตั้งใจโอนหรือจำหน่ายทรัพย์ที่ขออายัติหรือไม่ โจทแถลงว่าไม่มีพยานเช่นนั้น สาลชั้นต้นสั่งว่าการที่จะขออายัติทรัพย์ได้จะต้องปรากตว่าเปนของจำเลยทั้งหมดหรือบางส่วน แต่ที่รายนี้เปนของสามีจำเลยซึ่งทำพินัยกัมยกให้แก่บุตรแลได้โอนไปแล้ว จึงสั่งยกคำร้อง
โจทอุธรน์ สาลอุธรน์เห็นว่าในขณะโจทยื่นคำร้องทรัพย์ยังเปนของจำเลย และตามคำเบิกความของโจท ได้ความว่าจำเลยกู้เงินโจทไป ๑๐๐๐ บาท ยังไม่ได้ใช้โจทจึงฟ้องดังนี้ รูปคดีเข้ามาตรา ๒๕๕ (๑) ที่ว่าฟ้องของโจทและในโอกาสที่โจทขอนั้นมีเหตุอันควน ส่วนตามมาตรา ๒๕๕ (๑) นั้น แม้โจทไม่ซาบว่า จำเลยจะโอนหรือขาย ตามพรึติการน์ที่จำเลยทำไปนั้นรูปคดีมีเหตุสมควน จึงสั่งให้อายัติ
จำเลยดีกา ว่าที่รายนี้แม้เดิมเปนสินบริคนห์ก็ดี แต่จำเลยได้ทำสัญญาต่ออำเพอแยกที่รายนี้เปนสินส่วนตัวของสามีจำเลยแล้ว สาลดีกาเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะพิจารนาว่าหนังสือสัญญาดังจำเลยว่า จะกะทบกะเทือนถึงโจทซึ่งเปนบุคคลพายนอกหรือไม่ จึงต้องฟังว่าเปนสินบริคนห์ระหว่างจำเลยกับสามี และคดีมีเหตุจะคุ้มครองตามมาตรา ๒๕๕ (๒) จึงพิพากษายืนตามสาลอุธรน์