โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 289, 358 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 358 (ที่ถูก มาตรา 358 (เดิม)) พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่งและวรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยทั้งสองอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษลงคนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบมาตรา 18 วรรคสาม ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 25 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันมีอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 6 เดือน คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คงจำคุกคนละ 16 ปี 8 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุกคนละ 4 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุกคนละ 4 เดือน รวมจำคุกคนละ 16 ปี 16 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 (1) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยทั้งสองไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 10 จังหวัดสมุทรปราการ มีกำหนดขั้นต่ำคนละ 2 ปี ขั้นสูงคนละ 3 ปี หากจำเลยทั้งสองมีอายุครบ 24 ปีบริบูรณ์ แล้วยังไม่ได้รับการฝึกอบรมครบกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำ ให้ส่งตัวจำเลยทั้งสองไปจำคุกยังเรือนจำตามกำหนดระยะเวลาฝึกอบรมขั้นต่ำที่เหลือตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 วรรคท้าย ริบอาวุธปืน ซองกระสุนปืน และปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์เมื่อลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 เดือน ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกคนละ 4 เดือน เมื่อรวมโทษจำคุกในความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุกคนละ 12 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษให้จำเลยทั้งสองฟัง ให้คุมความประพฤติของจำเลยทั้งสองไว้ตลอดระยะเวลาดังกล่าว โดยให้จำเลยทั้งสองไปรายงานตัวที่ศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำและประสานการประชุมของศาลชั้นต้นเพื่อรับคำปรึกษาแนะนำจากนักจิตวิทยา 4 เดือน ต่อครั้งตลอดระยะเวลาที่คุมความประพฤติ ห้ามจำเลยทั้งสองคบหาสมาคมกับบุคคลผู้มีความประพฤติไม่ดีและผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกประเภท ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าไปยังสถานที่เริงรมย์หรือเที่ยวเตร่ในยามวิกาลและห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติดหรือสิ่งมึนเมาทุกประเภท ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องขณะที่นายเฉลิมพล ผู้เสียหายที่ 1 นายณรงค์ชัย ผู้เสียหายที่ 2 และนายสมพร ผู้เสียหายที่ 3 นั่งดื่มสุราและพูดคุยกันอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนบริเวณหน้าบ้านซึ่งอยู่ภายในรั้วบ้านของผู้เสียหายที่ 1 มีกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 8 คน ซึ่งมีจำเลยทั้งสองรวมอยู่ด้วยขับและซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ประมาณ 4 คัน มาจอดบริเวณหน้าบ้านของผู้เสียหายที่ 1 แล้วยิงปืนมาที่บ้านผู้เสียหายที่ 1 หลายนัดเป็นเหตุให้กระสุนปืนถูกรถกระบะของผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และประตูหน้าบ้านของผู้เสียหายที่ 1 ได้รับความเสียหาย ต่อมาวันที่ 26 พฤษภาคม 2559 จำเลยทั้งสองมอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจพร้อมมอบอาวุธปืนขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนปืน 1 อัน และอาวุธปืนขนาด 9 มม. 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนปืน 1 อัน แก่เจ้าพนักงานตำรวจเป็นของกลาง ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าอาวุธปืนดังกล่าวทั้งสองกระบอกเป็นอาวุธปืนที่คนร้ายใช้กระทำความผิดในวันเกิดเหตุ ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ แต่ให้การปฏิเสธข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ร่วมกันมีอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ คู่ความไม่ได้ฎีกาความผิดดังกล่าวจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับพวกพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 เบิกความสอดคล้องต้องกันว่าในขณะที่กลุ่มคนร้ายขับรถจักรยานยนต์มาจอดและใช้อาวุธปืนยิงนัดแรกนั้น ผู้เสียหายทั้งสามยังยืนอยู่ที่บริเวณโต๊ะหินอ่อนซึ่งอยู่ภายในบ้านบริเวณด้านหน้าของบ้าน หลังจากเสียงปืนดังขึ้นนัดแรกแล้วผู้เสียหายทั้งสามจึงหลบใต้โต๊ะและคลานหลบเข้าไปอยู่ในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งขณะนั้นยังมีเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด รวมเวลาประมาณ 1 นาที ซึ่งสอดคล้องกับที่พันตำรวจตรี ทรงพลและร้อยตำรวจเอก จตุพรเบิกความว่า จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนที่หน้าบ้านของผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 42 ปลอก แม้ตามภาพถ่ายประกอบคดี และตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 พันตำรวจตรี ทรงพลและร้อยตำรวจเอก จตุพรได้ความเพียงว่ามีความเสียหายจากกระสุนปืนเกิดขึ้นที่รถกระบะของผู้เสียหายที่ 1 ที่ 3 และประตูบ้านเป็นส่วนใหญ่แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ใดได้รับบาดเจ็บและร้อยตำรวจเอก จตุพรเบิกความว่า รอยกระสุนปืนที่พบนั้นอยู่ที่บริเวณประตูเหล็กนอกบ้าน รั้วบ้าน ล้อด้านซ้ายและยางรถยนต์ และขณะเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายอยู่ห่างจากผู้เสียหายทั้งสาม 5 เมตร และไม่มีสิ่งใดกีดขวางระหว่างผู้เสียหายทั้งสามกับกลุ่มคนร้ายก็ตาม แต่พฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยทั้งสองที่ร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุหลายนัด ในขณะที่ผู้เสียหายทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะนั่งเล่นภายในรั้วบ้าน และระยะห่างจากจุดที่กลุ่มของจำเลยทั้งสองกับพวกลงจากรถจักรยานยนต์และใช้อาวุธปืนยิงมาทางผู้เสียหายทั้งสามนั้น มีระยะไม่ไกลนักและเมื่อดูภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุที่แสดงร่องรอยวิถีกระสุนปืนแสดงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกเล็งเห็นผลว่ากระสุนปืนที่ยิงย่อมจะกระจายรัศมีไปถูกผู้เสียหายทั้งสามได้ ประกอบกับจากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนเป็นจำนวนถึง 42 นัด ตกอยู่ในที่เกิดเหตุและมีวิถีกระสุนปืนที่เล็งไปทางผู้เสียหายทั้งสามที่อยู่ที่โต๊ะนั่งเล่นในรั้วบ้าน ซึ่งเวลาเกิดเหตุแม้จะเป็นช่วงเวลากลางคืนแต่ผู้เสียหายทั้งสามเบิกความว่าภายในบ้านมีแสงสว่างจากหลอดไฟและยังมีแสงไฟมาจากเสาไฟฟ้าที่อยู่หน้าบ้านรวมถึงแสงไฟจากบ้านข้างเคียง อันแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองและพวกย่อมเห็นได้ว่าผู้เสียหายทั้งสามนั่งอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งจำเลยทั้งสองกับพวกไม่พอใจผู้เสียหายทั้งสามอยู่แล้วบ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกยิงไปในทิศทางที่ผู้เสียหายทั้งสามอยู่ การที่จำเลยทั้งสองกับพวกใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายแรงมีประสิทธิภาพในการทำลายสูงยิงเข้าไปในบ้านผู้เสียหายที่ 1 โดยรู้อยู่ว่าผู้เสียหายทั้งสามอยู่ในบ้าน หากกระสุนปืนถูกผู้เสียหายทั้งสามอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ แต่เหตุที่ยิงไม่ถูกเนื่องจากหลังจากที่จำเลยทั้งสองกับพวกใช้อาวุธปืนยิงครั้งแรกแล้วผู้เสียหายทั้งสามหลบใต้โต๊ะและคลานไปหลบในห้องภายในตัวบ้านของผู้เสียหายที่ 1 แต่จำเลยทั้งสองกับพวกก็ยังคงใช้อาวุธปืนไล่กราดยิงตามไปยังจุดต่าง ๆ ที่ผู้เสียหายทั้งสามวิ่งหลบหนีรวมทั้งระดมยิงเข้าไปในตัวบ้านแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสามมิฉะนั้นแล้วคงไม่มีเหตุที่จำเลยทั้งสองจะต้องใช้อาวุธปืนไล่กราดยิงผู้เสียหายทั้งสามจนมีปลอกกระสุนปืนถึง 42 ปลอก และจากร่องรอยกระสุนปืนที่ตรวจพบ พบร่องรอยกระสุนปืนที่บริเวณล้อรถยนต์ กระบะ ตัวรถยนต์ รั้วบ้าน ผนังกำแพงในระดับศีรษะ และเหนือศีรษะโดยมีรอยกระสุนปืนตั้งแต่บริเวณด้านนอกตัวบ้าน บริเวณที่จอดรถ บริเวณที่ผู้เสียหายทั้งสามอยู่ขณะเกิดเหตุ และบริเวณใกล้ประตูชั้นในของบ้านซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของร้อยตำรวจเอก จตุพร พนักงานสอบสวนที่เบิกความตอบที่ปรึกษากฎหมายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า พบรอยกระสุนปืนมีความสูงจากพื้นประมาณ 1 เมตร แสดงให้เห็นถึงลักษณะการยิงปืนของจำเลยทั้งสองกับพวกว่าเป็นการยิงปืนไล่ตามทิศทางการหลบหนีของผู้เสียหายทั้งสามในลักษณะกระจายตัวตั้งแต่ระดับต่ำ กลางและสูง และเป็นการไล่ยิงกราดกระจายทั่วบริเวณบ้านเพื่อไม่ให้ผู้เสียหายทั้งสามหลบหนีวิถีกระสุนปืนได้ หากจำเลยทั้งสองมีเจตนาเพียงยิงขู่ผู้เสียหายทั้งสามจริง จำเลยทั้งสองย่อมทำได้โดยการยิงไปในทิศทางอื่นซึ่งไม่ใช่ทิศทางที่ผู้เสียหายทั้งสามอยู่ การที่จำเลยทั้งสองกับพวกใช้อาวุธปืนยิงกราดไปที่บริเวณบ้านทั้งจุดที่ผู้เสียหายทั้งสามยืนและนั่งอยู่ในครั้งแรกจนถึงจุดที่หลบซ่อนอยู่ภายในตัวบ้านเช่นนี้ จำเลยทั้งสองย่อมเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายทั้งสามหรือบุคคลอื่นภายในบ้านได้ แม้กระสุนปืนจะไม่ถูกผู้ใด การกระทำของจำเลยทั้งสองก็ถือได้ว่ามีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นแล้ว สำหรับความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีเรื่องกับผู้เสียหายที่ 2 ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 22 นาฬิกา ของวันที่ 22 พฤษภาคม 2559 และเหตุการณ์ที่จำเลยทั้งสองกับพวกใช้อาวุธปืนไปยิงผู้เสียหายทั้งสามที่บ้านของผู้เสียหายที่ 1 ในเวลา 0.30 นาฬิกา ของวันที่ 23 พฤษภาคม 2559 ซึ่งช่วงเวลาห่างกันประมาณ 2 ชั่วโมง จึงหาใช่เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกระชั้นชิดกันไม่ แต่เป็นเหตุการณ์ที่ขาดตอนไปแล้ว ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองกับพวกตระเตรียมอาวุธปืนเพื่อใช้ในการกระทำความผิดมาล่วงหน้าและนัดหมายกับพวกไปรวมตัวกันที่สถานีบริการน้ำมันเพื่อจะไปที่บ้านที่เกิดเหตุ เพราะมีเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายที่ 2 และยังขุ่นเคืองผู้เสียหายที่ 2 อยู่ มิใช่ว่ามาพบผู้เสียหายทั้งสามโดยบังเอิญแล้วเกิดทะเลาะวิวาทและทำร้ายทันทีในขณะนั้นจำเลยทั้งสองจึงมีโอกาสคิดทบทวนล่วงหน้าก่อนจะกระทำความผิด เมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกไปถึงบ้านผู้เสียหายที่ 1 ก็ใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในบ้านผู้เสียหายที่ 1 ทันทีโดยมีการวางแผนและตระเตรียมไว้ล่วงหน้า จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 80, 358 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 อันเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ขณะกระทำความผิดจำเลยทั้งสองมีอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบมาตรา 18 วรรคสาม จำคุกคนละ 16 ปี 8 เดือน คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 11 ปี 40 วัน เมื่อรวมกับโทษจำคุกในความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแล้ว เป็นจำคุก 11 ปี 8 เดือน 40 วัน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยทั้งสองไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 10 จังหวัดสมุทรปราการ มีกำหนดขั้นต่ำคนละ 2 ปี ขั้นสูงคนละ 3 ปี หากจำเลยทั้งสองมีอายุครบ 24 ปีบริบูรณ์แล้ว ยังไม่ได้รับการฝึกอบรมครบกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำ ให้ส่งตัวจำเลยทั้งสองไปจำคุกตามกำหนดระยะเวลาฝึกอบรมขั้นต่ำที่เหลือตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ