คดีนี้  โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยได้บังอาจกระทำชำเราเด็กหญิงอนงค์  จันทร์แจ่มใส  อายุ ๙ ปี  โดยจำเลยใช้กำลังกายจับให้เด็กหญิงอนงค์นอนหงายแล้วจำเลยกระทำชำเราได้สำเร็จ  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๗
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า  จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๗ จำเลยอายุกว่า ๑๔ ปี  แต่ยังไม่เกิน ๑๗ ปี  ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง  ตามมาตรา ๗๕ ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด ๓ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา ๒๗๗,๘๐  ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา ๗๕  แล้ว  คงจำคุก ๒ ปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาที่ว่า  การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำชำเราสำเร็จหรือเป็นเพียงฐานพยายาม  โดยวินิจฉัยว่า  การที่จำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายจนของลับของจำเลยได้เข้าไปในของลับของผู้เสียหายราว ๑ องคุลีแล้ว  กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการกระทำชำเราสำเร็จตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๒๗๗ แล้ว  ส่วนการที่ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่ามีน้ำอสุจิของจำเลยออกมาอยู่ที่ของลับของผู้เสียหายหรือที่ของลับของจำเลยนั้น  เป็นเรื่องสำเร็จความใคร่แล้วหรือไม่  อีกส่วนหนึ่ง  ไม่เป็นเหตุให้เห็นว่าจำเลยกระทำชำเราไม่สำเร็จหรือเป็นเพียงขั้นพยายาม  พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์  เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๗  ขณะกระทำผิดจำเลยมีอายุ ๑๖ ปี จึงลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๕  ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด ๑ ปี  จำเลยถูกขังเกินกำหนดโทษแล้ว  จึงให้ปล่อยตัวจำเลยไป.