โจทก์ฟ้องว่า  เมื่อวันที่  ๒๓  พฤษภาคม  ๒๕๑๙  เวลาประมาณ ๑๘ นาฬิกา ขณะที่จำเลยกำลังคุมคนงานซ่อมรั้วกั้นเขตระหว่างบ้านจำเลยกับบ้านบิดามารดา  นายกษิตจำเลยบังอาจกล่าวคำหมิ่นประมาทใส่ความนายกษิตพร้อมกับชี้หน้าว่า  "ที่ต้องสร้างรั้วใหม่ก็เพราะไอ้คนนี้มันเข้ามาข่มขืนคนใช้ในบ้านฉัน"    โดยกล่าวต่อหน้าร้อยตำรวจตรีพงษ์สิทธิ   นายอนันต์ และผู้อื่นอีกหลายคน  โดยประการที่น่าจะทำให้นายกษิตเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น  ถูกเกลียดชัง  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๒๖
จำเลยให้การปฏิเสธ
นายกษิตผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม  ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นว่า  ก่อนเกิดเหตุคดีนี้  โจทก์ร่วมเคยเข้าไปในบ้านของจำเลยเพื่อจะข่มขืนกระทำชำเราหญิงรับใช้   หลังจากนั้นราว ๒ ปี  คือเมื่อวันที่  ๒๓  พฤษภาคม  ๒๕๑๙  ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุคดีนี้  จำเลยและสามีจะทำรั้วบ้านใหม่  เกิดโต้แย้งเรื่องเขตแนวรั้วกับโจทก์ร่วมและบิดามารดาของโจทก์ร่วมร้อยตำรวจตรีพงษ์สิทธิเจ้าหน้าที่ตำรวจไกล่เกลี่ยให้ตกลงกัน จำเลยจึงกล่าวต่อหน้าร้อยตำรวจตรีพงษ์สิทธิว่าที่ต้องสร้างรั้วใหม่เพราะไอ้คนนี้ (หมายถึงโจทก์ร่วม )  มันเข้าไปข่มขืนคนใช้ในบ้านฉัน   ดังนี้  เห็นว่าการที่ฝ่ายจำเลยและฝ่ายโจทก์มีข้อโต้แย้งกันเรื่องแนวเขตรั้ว แต่จำเลยกลับนำเรื่องราวดังที่กล่าวมาแล้วเป็นเหตุการณ์ที่ล่วงเลยมานาน ๒ ปีเศษขึ้นมาเป็นเหตุกล่าวประจานโจทก์ร่วมต่อหน้าตำรวจ (โดยจำเลยไม่มีสิทธิที่จะกล่าวเช่นนั้นได้)   การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สาม  โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น  หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดตามฟ้อง  ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าจำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๒๙  ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับเป็นว่า  จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๒๖