โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานสรรพสามิตต์และเป็นคณะกรมการอำเภอรับมอบอำนาจจากนายอำเภอให้มีหน้าที่จับกุมผู้ทำผิดกฎหมาย จำเลยบังอาจยึดอาวุธปืนของผู้มีชื่อแล้วบังคับผู้มีชื่อให้ ๆ เงินแก่จำเลยหาไม่จะไม่คืนปืนให้ ผู้มีชื่อให้เงินแก่จำเลยแล้วจึงได้รับคืนปืน เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายบังอาจให้เขาให้ทรัพย์แก่จำเลย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา ม.๑๓๖ และที่แก้ไข
ในวันพิจารณาโจทก์แถลงว่าการมอบอำนาจของนายอำเภอให้จำเลยกระทำการจับผู้ทำผิดนอกเหนือหน้าที่ของจำเลย เป็นการสั่งด้วยปากเปล่าในขณะที่นายอำเภอนั่งทำการ ณ ที่ว่าการอำเภอ และไม่มีหมายจับ จำเลยมีหน้าที่ฉะเพาะจับกุมผู้ทำผิดกฎหมายภาษีชั้นในและกฎหมายฝิ่น
ศาลชั้นต้นจึงงดสืบพะยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง เพราะเหตุว่าจำเลยไม่มีหน้าที่จับกุม
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาเห็นว่าตาม พ.ร.บ.ระเบียบราชการบริหาร ฯ มาตรา ๒๒(๑) คณะกรมการอำเภอมีหน้าที่บริหารราชการไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนเท่านั้น นายอำเภอสั่งจำเลยด้วยปากเปล่าให้จับผู้ทำผิดอื่น ๆ ด้วยนั้นหาได้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนไม่ เพราะเจ้าพนักงานปกครองหรือตำรวจจะจับกุมคนโดยไม่มีหมายจับไม่ได้เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามประมวลวิธีพิจารณาอาญามาตรา ๗๘ แม้จะพิเคราะห์ดูตามมาตรา ๒ (๑๖) ประมวลวิธีพิจารณาความอาญาก็ไม่มีทางเห็นได้ว่าจำเลยจับกุม (เจ้าของปืน)มาตามอำนาจหน้าที่โดยโจทก์ได้แถลงแล้วว่าหน้าที่ของจำเลยมีแต่จับเรื่องความผิดต่อกฎหมายภาษีชั้นในและกฎหมายฝิ่น อาศัยคำสั่งปากเปล่าไม่มีหมายของนายอำเภอจีงถือไม่ได้ว่าเป็นการทำตามอำนาจและหน้าที่ดังความหมายในมาตรา ๒ (๑๖) นี้ จึงเห็นพ้องด้วยศาลล่างว่าจำเลยทำไปโดยมิใช่เป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่มีผิดดังฟ้องของโจทก์ จึงพิพากษายืน