โจทก์ฟ้องขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2559 (ภ.ร.ด.8) ที่จำเลยเรียกเก็บจากโจทก์ 2,574,093.21 บาท และยกเลิกหรือเพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลย ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 ให้จำเลยกำหนดค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2559 จากทรัพย์สินของโจทก์ที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยเป็นเงิน 714,016.80 บาท และให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่จำเลยจัดเก็บไว้เกิน 1,860,076.41 บาท แก่โจทก์ หากไม่คืนเงินให้โจทก์ภายในสามเดือนนับแต่คำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดสามเดือนจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุดแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากรพิพากษากลับว่า ให้แก้ไขการประเมินและคำชี้ขาดตามใบแจ้งรายการประเมิน เล่มที่ 3 เลขที่ 25 ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 และใบแจ้งคำชี้ขาด เล่มที่ 1 เลขที่ 2 ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 โดยกำหนดค่ารายปีโรงเรือนที่เป็นพื้นที่ขายอัตรา 50 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน คำนวณเป็นค่ารายปี 3,334,800 บาท ค่าภาษี 416,850 บาท เมื่อรวมกับค่ารายปีทรัพย์สินอื่นเป็นเงิน 5,586,145.71 บาท ค่าภาษีเป็นเงิน 698,268.21 บาท ให้จำเลยคืนเงินค่าภาษี 1,860,076.41 บาท ภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด หากไม่คืนภายในกำหนดให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนด 3 เดือน จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 9915 และอาคารเลขที่ 89 จังหวัดตรัง โดยประกอบกิจการค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค โจทก์ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ภ.ร.ด.2) ประจำปีภาษี 2559 โดยแสดงพื้นที่อาคาร สิ่งปลูกสร้าง พื้นที่ต่อเนื่อง และพื้นที่เช่าของที่ดินและอาคาร ต่อมาพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินค่ารายปีอาคารและที่ดินของโจทก์โดยแยกพื้นที่อาคารออกเป็นพื้นที่ขายและพื้นที่สำนักงาน ในส่วนของพื้นที่ขายมีเนื้อที่ 5,558 ตารางเมตร คิดค่ารายปีในอัตราตารางเมตรละ 275 บาทต่อเดือน พื้นที่สำนักงานคิดค่ารายปีอัตราตารางเมตรละ 50 บาทต่อเดือน ลานจอดรถคิดค่ารายปีอัตราตารางเมตรละ 6 บาท ต่อเดือน และพื้นที่ให้เช่าคิดค่ารายปีตามค่าเช่าในสัญญาเช่า 512,689.71 บาท รวมเป็นค่ารายปี 20,592,745.71 บาท ค่าภาษี 2,574,093.21 บาท โจทก์ชำระค่าภาษีครบถ้วนและยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ จำเลยมีคำชี้ขาดให้ลดค่ารายปีในส่วนของพื้นที่ขายจากอัตราตารางเมตรละ 275 บาทต่อเดือน เป็นตารางเมตรละ 220 บาทต่อเดือน ส่วนรายการอื่นคงเดิม รวมเป็นค่ารายปี 16,924,465.71 บาท ค่าภาษี 2,115,558.21 บาท
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การประเมินค่ารายปีและค่าภาษีในส่วนพื้นที่ขายตามใบแจ้งรายการประเมินและคำชี้ขาดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และจำเลยต้องคืนเงินภาษีให้โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า มาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 บัญญัติว่า "ค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วนั้น ท่านให้เป็นหลักสำหรับการคำนวณค่าภาษีซึ่งจะต้องเสียในปีต่อมา" จะเห็นได้ว่ากฎหมายมิได้บัญญัติบังคับให้นำค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วมาเป็นค่ารายปีของปีต่อมาโดยตรง เพียงแต่ให้นำมาเป็นหลักในการคำนวณเท่านั้น เนื่องจากค่ารายปีย่อมอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงแล้วแต่พฤติการณ์และความเป็นจริง และสำหรับค่ารายปีนั้น มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ให้ความหมายว่า คือ จำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ ในกรณีทรัพย์สินนั้นให้เช่าให้ถือว่าค่าเช่านั้นคือค่ารายปี แต่ถ้าเป็นกรณีที่มีเหตุอันสมควรที่ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าค่าเช่านั้นมิใช่จำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ หรือเป็นกรณีที่หาค่าเช่าไม่ได้เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินดำเนินกิจการเองหรือด้วยเหตุประการอื่น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจประเมินค่ารายปีได้โดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ จึงแสดงว่าค่ารายปีที่จะใช้ในการคำนวณภาษีนั้น พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจที่จะแก้ไขกำหนดใหม่ในแต่ละปีที่จะต้องชำระภาษีได้เมื่อมีเหตุอันสมควร จากข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วว่า โจทก์ประกอบกิจการห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จำหน่ายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไป ดังนั้นโจทก์ย่อมได้รับประโยชน์ในส่วนที่เป็นพื้นที่ขายมากกว่าส่วนที่ใช้เป็นพื้นที่สำนักงาน และการนำอาคารห้างสรรพสินค้าให้ผู้อื่นเช่าย่อมได้ค่าเช่ามากกว่าอาคารที่ใช้เป็นพื้นที่สำนักงาน เมื่อลักษณะการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินแตกต่างกัน ค่ารายปีในส่วนพื้นที่ขายย่อมสูงกว่าพื้นที่ที่ใช้เป็นสำนักงาน การที่ปีภาษี 2558 จำเลยกำหนดค่ารายปีพื้นที่ขายและพื้นที่สำนักงานในอัตราค่าเช่า 50 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือนเท่ากันจึงไม่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง จำเลยย่อมมีอำนาจกำหนดค่ารายปีสำหรับปีภาษี 2559 ในส่วนพื้นที่ขายใหม่ได้โดยไม่จำต้องใช้ค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วมาเป็นหลักในการกำหนดค่ารายปี พื้นที่ขายเป็นพื้นที่ที่โจทก์ใช้ประโยชน์เองจึงเป็นกรณีที่หาค่าเช่าไม่ได้เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินดำเนินกิจการเอง พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงมีอำนาจประเมินค่ารายปีโดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ได้ การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยนำค่าเช่าของผู้ประกอบการที่เช่าพื้นที่ของโจทก์ซึ่งมีอัตราค่าเช่าระหว่าง 700 ถึง 5,000 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือน คิดเป็นอัตราค่าเช่าเฉลี่ยตารางเมตรละ 1,884 บาทต่อเดือน กับค่าเช่าโรงเรือนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับโจทก์ซึ่งมีอัตราค่าเช่าระหว่าง 240 ถึง 416 บาท ต่อตารางเมตรต่อเดือน คิดเป็นอัตราค่าเช่าเฉลี่ยตารางเมตรละ 289 บาทต่อเดือน มาเทียบเคียงเพื่อกำหนดค่ารายปีพื้นที่ขายของโจทก์นั้น แม้ทรัพย์สินที่นำมาเทียบเคียงดังกล่าวจะมีพื้นที่และลักษณะการประกอบกิจการแตกต่างจากโจทก์ แต่ต่างก็อยู่ในทำเลที่ตั้งและได้รับบริการสาธารณะเช่นเดียวกับโจทก์อันสามารถนำค่าเช่าดังกล่าวมาเทียงเคียงเพื่อกำหนดค่ารายปีพื้นที่ขายของโจทก์ได้ตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ส่วนที่โจทก์อ้างว่า บริษัทโฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) สาขาตรัง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ประกอบกิจการห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เช่นเดียวกับโจทก์อยู่ห่างจากโจทก์ประมาณ 500 เมตร ถูกประเมินค่ารายปีในส่วนอาคารของห้างอัตราค่าเช่าตารางเมตรละ 6 บาทต่อเดือนนั้น ก็ปรากฏว่าบริษัทดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านควนคนละพื้นที่กับโจทก์ และได้รับบริการสาธารณะแตกต่างจากโจทก์ จึงไม่อาจนำมาเทียงเคียงว่าต้องมีค่ารายปีในอัตราที่เท่ากันกับโจทก์ ดังนั้น การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยกำหนดค่ารายปีพื้นที่ขายในอัตราค่าเช่าตารางเมตรละ 275 บาทต่อเดือน และต่อมาจำเลยมีคำชี้ขาดลดค่ารายปีลงเหลือตารางเมตรละ 220 บาท ต่อเดือนนั้น นับว่าเป็นคุณแก่โจทก์มากแล้ว การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2559 และคำชี้ขาดของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่จำต้องคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ