โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหลบหนีการควบคุมของเจ้าพนักงาน  เหตุเกิดที่ตำบลวังกระโจม  อำเภอเมืองนครนายก  จังหวัดนครนายก  ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๙๐
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเชื่อว่าจำเลยกระทำผิดดังฟ้อง  พิพากษาว่า  จำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๑๙๐ ลงโทษจำคุก ๓ เดือน
จำเลยอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าตามข้อเท็จจริงเจ้าพนักงานยังไม่มีอำนาจและยังไม่ได้ทำการจับกุมจำเลย  แม้จำเลยจะหลบหนีไปก็ไม่ควรมีความผิด
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า  เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๐๓  จำเลยกับพวกได้ทำร้ายนายสิบตำรวจตรีวุทธิศาล  พลตำรวจสุนทร  และพลตำรวจสมบัติมีบาดเจ็บเนื่องจากเจ้าพนักงานเหล่านั้นไปจับสุราผิดกฎหมายจากนายสว่างญาติของจำเลย  จึงได้รายงานให้นายอำเภอและผู้บังคับกองตำรวจภูธรท้องที่ทราบ  ต่อมาวันที่ ๑๙ เดือนเดียวกัน  นายสิบตำรวจตรีวุทธิศาลพบจำเลยขี่รถจักรยานไปทางสะพานดอนคอกและพบนายร้อยตำรวจตรีวีระขี่รถจักรยานมา  นายสิบตำรวจตรีวุทธิศาลจึงบอกให้นายร้อยตำรวจตรีวีระทำการจับกุมจำเลยเพราะต้องหาว่าต่อสู้ขัดขวางและทำร้ายเจ้าพนักงาน  นายร้อยตำรวจตรีวีระทำการจับกุมจำลเยเพราะต้องหาว่าต่อสู้ขัดขวางและทำร้ายเจ้าพนักงาน  นายร้อยตำรวจตรีวีระซึ่งได้เห็นคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดให้จับจำเลยในข้อหาว่าต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานมาก่อนแล้ว  จึงได้ตามไปจนทันแล้วจับรถจักรยานจำเลยไว้และแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบว่าต้องหาว่าต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน  และว่าจำเลยอยู่ในระหว่างควบคุมตัวแล้ว  ให้ไปที่สถานีตำรวจแล้วควบคุมตัวจำเลยไป  พอถึงคอสะพานจำเลยก็จูงรถวิ่งลงสะพานแล้วขึ้นรถขี่ไปทางเกาะโพธิ์  เจ้าพนักงานจึงขี่รถตามไป พอจวนถึงสะพานเกาะโพธิ์นายสิบตำรวจตรีเสถียรซึ่งยืนอยู่ที่เชิงสะพานนั้นก็จับจำเลยไว้ได้ตามที่นายร้อยตำรวจตรีวีระขอให้ช่วย แล้วนำตัวส่งสถานีตำรวจ
ในปัญหาว่านายร้อยตำรวจตรีวีระมีอำนาจจับกุมจำเลยได้หรือไม่นั้น  ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยต้องหาเรื่องทำร้ายร่างกายและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน  จนได้มีคำสั่งจับของผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว  ครั้นเจ้าพนักงานพบจำเลยขี่รถจักรยานจึงได้จับจำเลยเช่นนี้  แม้จะไม่มีหมายจับก็ย่อมจับจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา ๗๘ (๓) กล่าวคือ  จับโดยมีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดมาแล้วและจะหลบหนี
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้ถูกจับกุมควบคุมตัวตามกฎหมายนั้น  เห็นว่า การที่นายร้อยตำรวจตรีวีระได้เข้าจับรถจักรยานที่จำเลยขี่อยู่ไว้  แล้วแจ้งข้อหาให้ทราบและว่าจำเลยอยู่ในระหว่างควบคุมตัวแล้วขอให้ไปที่สถานีตำรวจนั้น  ถือได้ว่าเป็นการจับจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา ๘๓ ดังจะเห็นได้ว่า ความตามมาตรานี้บัญญัติว่า  ในการจับนั้นเจ้าพนักงานซึ่งทำการจับต้องแจ้งแก่ผู้ที่จะถูกจับนั้นว่าเขาต้องถูกจับ  แต่ถ้าจำเป็นก็ให้จับตัวไป  อันหมายความว่าการจับนั้นอาจใช้วิธีละม่อม  เชิญตัวให้ไปด้วยกันก็ได้  แต่ถ้าไม่น่าไว้ใจก็อาจใช้กำลังจับตัวนำไปก็ได้เหมือนกัน  มิใช่ว่าจะต้องจับตัวกันจริง ๆ ทุกกรณีไป  จึงจะเป็นการจับตามกฎหมาย
พิพากษายืน