คดีสืบเนื่องจากโจทก์ทั้งสิบห้าฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบเอ็ดในข้อหาร่วมกันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และร่วมกันช่วยผู้กระทำความผิดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 189 จากเหตุมีผู้ไปทำลายสะพานคอนกรีตและถนนคอนกรีต แล้วถมลำคลองสาธารณะวัดแก้วฟ้าเพื่อปรับพื้นที่ใช้เชื่อมต่อเป็นแปลงเดียวกันในการก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2554 ก่อนศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ทั้งสิบห้ายื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสิบเอ็ด โดยมีเงื่อนไขให้บริษัท ค. ไปดำเนินการแก้ไขปรับปรุงพื้นที่พิพาทและถวายเงิน 5,000,000 บาท เพื่อเป็นสาธารณกุศลและสาธารณประโยชน์แก่วัดแก้วฟ้า ทันทีที่บริษัท ค. ได้รับใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในโครงการซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของวัดแก้วฟ้าตามบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างโจทก์ทั้งสิบห้ากับจำเลยทั้งสิบเอ็ดและบริษัท ค. จำกัด ศาลชั้นต้นอนุญาต และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ต่อมาบริษัท ค. ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอวางเงิน 5,000,000 บาท เป็นเช็คธนาคาร ล. โดยให้วัดแก้วฟ้ารับเช็คดังกล่าวไปจากศาลชั้นต้นเมื่อมีการปฏิบัติตามเงื่อนไขในบันทึกข้อตกลง จากนั้นวันที่ 2 พฤษภาคม 2555 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ยังไม่สามารถขอใบอนุญาตจัดสรรที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2556 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาดำเนินการขอใบอนุญาตจัดสรรที่ดินออกไปอีก 6 เดือน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งนัดพร้อม เมื่อถึงวันนัด ผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องแถลงว่าวัดแก้วฟ้าไม่มาชี้แนวเขตที่ดิน ทำให้ผู้ร้องไม่สามารถขอใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน จึงไม่อาจเบิกถอนเงินดังกล่าวมอบให้แก่วัดแก้วฟ้าได้ นายสุธน ตัวแทนวัดแก้วฟ้าแถลงว่า วัดแก้วฟ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี หากจะให้วัดแก้วฟ้าชี้แนวเขตที่ดินเพื่อรับเงินดังกล่าว โดยยังไม่ทราบว่าจะนำเงินไปดำเนินการในกิจการใด ไม่สามารถกระทำได้ ส่วนโจทก์ทั้งสิบห้าแถลงว่า การตกลงมอบเงินให้วัดแก้วฟ้าไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์ทั้งสิบห้า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ข้อตกลงอันนำไปสู่การถอนฟ้องเป็นเรื่องที่ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตกลงมอบเงินแก่วัดแก้วฟ้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเช่นกัน ดังนั้น การจะดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงได้หรือไม่ เพียงใด หรือหากจะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างกัน เป็นเรื่องที่ผู้ร้องและวัดแก้วฟ้าจะต้องไปว่ากล่าวและดำเนินการตามกฎหมาย
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 ศาลชั้นต้นมีหนังสือถึงผู้ร้องว่า ยังไม่มีการรับเงินที่ผู้ร้องนำมาวางศาลอันเป็นเงื่อนไขตามบันทึกข้อตกลงไปจากศาล หากหลังวันที่ 7 ตุลาคม 2563 ไม่มีการรับคืนไป เงินดังกล่าวจะตกเป็นรายได้ของแผ่นดิน
วันที่ 19 กันยายน 2562 วัดแก้วฟ้ายื่นใบแจ้งความประสงค์ขอรับเงินซึ่งผู้ร้องวางไว้ จากนั้นวันที่ 4 ตุลาคม 2562 ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านการขอรับเงินของวัดแก้วฟ้า ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนเงินดังกล่าวแก่ผู้ร้อง
โจทก์ทั้งสิบห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้วัดแก้วฟ้ามีสิทธิรับเงิน 5,000,000 บาท ที่ผู้ร้องนำมาวางไว้ต่อศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาให้วัดแก้วฟ้ามีสิทธิรับเงิน 5,000,000 บาท ที่ผู้ร้องนำมาวางไว้ต่อศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า บันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างโจทก์ทั้งสิบห้ากับจำเลยทั้งสิบเอ็ดและบริษัท ค. ผู้ร้อง ลงวันที่ 26 ตุลาคม 2554 มีข้อความระบุไว้ในสาระสำคัญว่า โจทก์ทั้งสิบห้าตกลงถอนฟ้องจำเลยทั้งสิบเอ็ด โดยมีเงื่อนไขให้ผู้ร้องไปดำเนินการแก้ไขปรับปรุงพื้นที่พิพาทและถวายเงิน 5,000,000 บาท เพื่อเป็นสาธารณกุศลและสาธารณประโยชน์แก่วัดแก้วฟ้าทันทีที่ผู้ร้องได้รับใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในโครงการซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของวัดแก้วฟ้า บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงมีโจทก์ทั้งสิบห้า จำเลยทั้งสิบเอ็ดและผู้ร้องเป็นคู่สัญญาระหว่างกัน โดยมีวัดแก้วฟ้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญา บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงเข้าลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 ซึ่งวัดแก้วฟ้ามีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากผู้ร้องซึ่งเป็นลูกหนี้ตามสัญญาโดยตรงได้ แม้ผู้ร้องกับฝ่ายโจทก์จะไม่มีมูลหนี้ต่อกัน และกรณีนี้มิใช่สัญญาให้ที่ผู้ร้องจะต้องส่งมอบเงินดังกล่าวแก่วัดแก้วฟ้า จึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 523 ดังข้อฎีกาของผู้ร้อง ทั้งนายสุธน ตัวแทนวัดแก้วฟ้าแถลงต่อศาลชั้นต้นในวันนัดพร้อมว่า วัดแก้วฟ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี หากจะให้วัดแก้วฟ้าชี้แนวเขตที่ดินเพื่อรับเงินดังกล่าว โดยยังไม่ทราบว่าจะนำเงินไปดำเนินการในกิจการใด ไม่สามารถกระทำได้ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2562 วัดแก้วฟ้ายื่นใบแจ้งความประสงค์ต่อศาลชั้นต้นขอรับเงินดังกล่าวซึ่งผู้ร้องวางไว้ อันเป็นการแสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากบันทึกข้อตกลงซึ่งโจทก์ทั้งสิบห้า จำเลยทั้งสิบเอ็ดและผู้ร้อง ทำขึ้นระหว่างกัน สิทธิของวัดแก้วฟ้าตามบันทึกข้อตกลงย่อมเกิดมีขึ้นสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคสอง ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้องของผู้ร้อง ฉบับลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 ว่า ผู้ร้องได้รับใบอนุญาตจัดสรรสำหรับที่ดินในโครงการที่กล่าวไว้ในบันทึกข้อตกลง ซึ่งมีแนวเขตที่ดินที่ผู้ร้องประสงค์ให้วัดแก้วฟ้ามาชี้ระวังแนวเขตที่ดินด้วย เช่นนี้ ไม่ว่าผู้ร้องจะต้องรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2626 และ 2627 ของผู้ร้องตามแนวตะเข็บที่ดินที่ติดกับลำรางสาธารณประโยชน์ซึ่งคั่นอยู่ระหว่างที่ดินของผู้ร้องกับวัดแก้วฟ้าออกไปเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 49728 หรือไม่ก็ตาม ก็ถือได้ว่าเป็นกรณีที่ผู้ร้องได้รับใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในโครงการซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของวัดแก้วฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วอันเป็นเงื่อนไขตามบันทึกข้อตกลงซึ่งระบุให้ผู้ร้องต้องถวายเงินแก่วัดแก้วฟ้า ผู้ร้องจึงต้องผูกพันและมีหน้าที่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ผู้ร้องหาอาจระงับสิทธิของวัดแก้วฟ้าโดยขอรับเงินที่วางไว้คืนไปจากศาลได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 375 ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่า การเรียกให้ผู้ร้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลง วัดแก้วฟ้าต้องเป็นผู้ใช้สิทธิด้วยตนเอง แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนเงินดังกล่าวแก่ผู้ร้อง วัดแก้วฟ้ามิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว ข้อพิพาทแห่งคดีระหว่างผู้ร้องและวัดแก้วฟ้าย่อมถึงที่สุด โจทก์ซึ่งมิได้ถูกโต้แย้งสิทธิและมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในเงินดังกล่าว ย่อมไม่อาจใช้สิทธิอุทธรณ์ให้ผู้ร้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น โดยวินิจฉัยให้วัดแก้วฟ้ามีสิทธิรับเงิน 5,000,000 บาท ที่ผู้ร้องนำมาวางไว้ต่อศาล จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งสิบห้า จำเลยทั้งสิบเอ็ดและผู้ร้อง ทำบันทึกข้อตกลงกำหนดเงื่อนไขในการถอนฟ้องจำเลยทั้งสิบเอ็ด โดยให้ผู้ร้องไปดำเนินการแก้ไขปรับปรุงพื้นที่พิพาทและถวายเงิน 5,000,000 บาท เพื่อเป็นสาธารณกุศลและสาธารณประโยชน์แก่วัดแก้วฟ้า ด้วยเจตนาให้มีผลผูกพันตามกฎหมาย เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นสืบเนื่องจากบันทึกข้อตกลงดังกล่าว โจทก์ทั้งสิบห้าในฐานะคู่สัญญาจึงมีอำนาจใช้สิทธิอุทธรณ์เพื่อให้เกิดสภาพบังคับตามบันทึกข้อตกลงได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาให้วัดแก้วฟ้ามีสิทธิรับเงิน 5,000,000 บาท ที่ผู้ร้องนำมาวางไว้ต่อศาลชั้นต้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน