คดีนี้  ศาลพิพากษาลงโทษนายจรินทร์กับพวกฐานรับของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรและใช้รถยนต์วิ่งบนทางหลวงที่ยังมิได้เปิดเป็นถนนสาธารณโดยไม่ได้รับอนุญาต  กับให้ริบของกลางเสียทั้งหมด  ของกลางที่ให้ริบนั้นมีรถยนต์ของนายจรินทร์ จำเลยรวมอยู่ด้วยคันหนึ่ง  แต่โดยที่รถยนต์ของกลางคันนี้ถูกจับส่งมายังพนักงานสอบสวนได้เพียง ๒ วัน  นายวัลลภทนายความได้รับอนุญาตให้นำกลับไปรักษาไว้ในระหว่างคดี  ครั้นศาลพิพากษาให้ริบ  ปรากฏว่ารถยนต์คันนี้อยู่ที่นายเผือกผู้ร้อง  นายวัลลภจึงขอให้พนักงานสอบสวนยึดรถคันนี้จากผู้ร้องเพื่อริบตามคำพิพากษา  ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลว่า  ผู้ร้องได้ซื้อรถยนต์คันนี้จากนายจรินทร์  จำเลย โดยโอนทะเบียนซื้อขายกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ผู้ร้องมิได้ทราบเลยว่าเป็นรถที่ติดอยู่ในคดี  ได้ซื้อไว้โดยบริสุทธิ์และนำออกใช้สอยโดยเปิดเผยตลอดมา  ขอให้ศาลสั่งคืนรถคันนี้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องเสีย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังว่า  ผู้ร้องได้ทราบอยู่แล้วในขณะโอนซื้อขายกันว่าเป็นรถของกลางในคดี  มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสีย
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า  ผู้ร้องได้ซื้อรถของกลางนี้ไว้โดยสุจริต  ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธิ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นโดยคืนรถยนต์ของกลางนี้ให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่ารถคันที่พิพาทนี้ได้ถูกพนักงานสอบสวนยึดไว้เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย  โดยมอบให้จำเลยอื่นซึ่งไม่ใช่นายจรินทร์จำเลยรักษาไว้  แม้ตามมาตรา ๑๔๒  แห่งประมวลกฎหมายอาญา  ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น  เอาไปเสีย  หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์  อาจเป็นความผิดมีโทษทางอาญาได้ก็ดี  แต่กรรมสิทธิ์ในรถคันนี้ยังคงอยู่แก่นายจรินทร์จำเลยผู้เป็นเจ้าของตลอดมา  ผู้ซื้อรับโอนกรรมสิทธิ์ไปจากนายจรินทร์จำเลยก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามที่รับโอนไปนั้น  เว้นแต่รับโอนโดยไม่สุจริต  กล่าวคือ  รู้อยู่แล้วว่าเป็นรถที่ถูกยึดไว้เป็นของกลางในคดี  ก็ยังขืนรับซื้อรับโอนไว้  ก็ย่อมจะอ้างกรรมสิทธิ์นั้นขึ้นต่อสู้ยันแก่พนักงานสอบสวนซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ใช่คู่สัญญากับตน  เพื่อมิให้รถต้องถูกริบตามคำพิพากษาหาได้ไม่  ข้อวินิจฉัยต่อไปจึงมีว่า  ผู้ร้องได้รับซื้อรถพิพาทหนี้จากนายจรินทร์จำเลยโดยสุจริตดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างหรือรับซื้อโดยไม่สุจริตดั่งที่โจทก์คัดค้าน  ศาลฎีกาพิจารณาพยานหลักฐานตามที่ปรากฎในทางไต่สวนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า  ผู้ร้องได้รับซื้อรถคันนี้ไว้โดยสุจริต  ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คืนรถของกลางคันพิพาทให้แก่ผู้ร้อง จึงชอบด้วยรูปคดีแล้ว  ส่วนที่โจทก์กล่าวในคำแถลงการณ์ประกอบฎีกาว่า  ผู้ร้องมิได้มาร้องขอคืนรถของกลางเสียภายใน ๖๐ วัน  นับแต่วันที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ไป  รถของกลางย่อมตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙  มาตรา๒๔  ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๒)  พ.ศ. ๒๔๙๗  มาตรา ๓ แล้ว  อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๑๖/๒๕๐๔  สนับสนุนด้วยนั้น  รูปเรื่องในคดีนี้จะปรับด้วยบทกฎหมายและคำพิพากษาฎีกาที่โจทก์กล่าวอ้างหาได้ไม่  เพราะรถคันนี้เป็นของจำเลยในคดี  ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาให้ริบก็ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตลอดมา  และเมื่อฟังว่าผู้ร้องรับซื้อไว้โดยสุจริตเช่นกัน  กรณีก็เป็นไปไม่ได้อีกที่จะให้มีการร้องขอคืนของกลางตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างอิง  ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น  พิพากษายืน