โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสี่จ่ายเงินสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 12 (ที่ถูก 12 (1)) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 4 เดือน จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 2 เดือน ริบของกลาง เนื่องจากศาลมิได้มีคำสั่งให้ปรับจำเลยทั้งสี่ คำขอให้จำเลยทั้งสี่จ่ายเงินสินบนนำจับจึงให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ก่อนส่งสำนวนไปศาลฎีกา จำเลยที่ 2 และที่ 4 ขอถอนฎีกา ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานเป็นเจ้ามือการพนันสลากกินรวบโดยเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวกได้พร้อมโพยสลากกินรวบ 117 แผ่น เงินสด 560,670 บาท เครื่องคิดเลข 1 เครื่อง เครื่องรับส่งเอกสาร 1 เครื่อง สมุดบัญชี 1 เล่ม และถุงผ้า 7 ใบ โดยในกระดาษโพยดังกล่าวมีจำนวนตัวเลขและจำนวนเงินที่รับแทงเป็นจำนวนเงินที่สูง ทั้งมีเงินสดของกลางเป็นจำนวนมาก พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวกเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้การพนันสลากกินรวบรายใหญ่ ไม่ได้คำนึงว่าการกระทำของตนก่อผลโดยตรงให้ประชาชนลุ่มหลงมัวเมาในอบายมุขอย่างกว้างขวาง กระทบต่อเศรษฐกิจสังคมและความสงบสุขของครอบครัว ทั้งยังเป็นบ่อเกิดอาชญากรรมร้ายแรงอื่นตามมาอีกมากมาย พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าร้ายแรง การที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 และกำหนดมาตรการในการคุมประพฤติแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ย่อมไม่เหมาะสมกับสภาพความผิดและไม่เพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 เกรงกลัวหรือหลาบจำ ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจกำหนดโทษและไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่า ตามที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า เงินสดของกลางบางส่วนจำนวน 476,025 บาท และเครื่องรับส่งเอกสารของกลางมิใช่ทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิดขอให้คืนทรัพย์สินดังกล่าวแก่จำเลยทั้งสี่ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบและขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันเป็นเจ้ามือเล่นการพนันสลากกินรวบ โดยเจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสี่พร้อมยึดโพยสลากกินรวบรวม 117 แผ่น เงินสด 560,670 บาท เครื่องคิดเลข 1 เครื่อง เครื่องรับส่งเอกสาร 1 เครื่อง สมุดบัญชีการเก็บเงินลูกค้าซื้อสลากกินรวบ 1 เล่ม และถุงผ้า 7 ใบ ซึ่งเป็นอุปกรณ์และทรัพย์สินที่ใช้ในการเล่นการพนันเป็นของกลาง จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า บรรดาทรัพย์สินของกลางที่โจทก์บรรยายฟ้องมาดังกล่าวเป็นอุปกรณ์และทรัพย์สินที่ใช้ในการเล่นพนันจริง ซึ่งศาลรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ได้โดยโจทก์ไม่จำต้องนำพยานหลักฐานมาสืบอีกดังที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 อ้างแต่อย่างใด ดังนั้น อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ในข้อนี้จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสี่และมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าว จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และเมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 3 ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาด้วย จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน"
พิพากษายืน