จำเลยที่ ๓ เอาเงินไปชำระหนี้เงินกู้ให้แก่เจ้าทรัพย์ที่บ้านเจ้าทรัพย์  จำเลยที่ ๑,๒,๔  ได้ไปด้วย จำเลยที่  ๓ เอาเงินมาไม่ครบจำนวนหนี้ที่กู้  จึงได้มีการสลักหลังหนังสือสัญญากู้กัน  เมื่อสลักหลังและอ่านข้อความแล้วจำเลยที่ ๓  ก็ลงชื่อเป็นผู้ชำระเงินแล้วจำเลยที่ ๑ เซ็นชื่อเป็นพะยานแล้วต่อมาจำเลยที่ ๒ กับผู้มีชื่อก็เซ็นชื่อเป็นพะยาน  ต่อจากนั้นเจ้าทรัพย์จึงพิมพ์ลายมือชื่อลงไป  เสร็จแล้วจำเลยที่ ๔ จึงส่งเงินที่ห่อกระดาษให้จำเลยที่ ๓ ๆ ก็เอาธนบัตรออกมานับวางลงที่พื้นกระดาน ๑๘๐ บาทนับแล้วจำเลยที่ ๓ ก็รวบธนบัตรนั้นจะส่งให้แก่เจ้าทรัพย์ ๆ เอื้อมมือจะรับ  ทันใจจำเลยที่ ๑ ซึ่งนั่งยอง ๆ อยู่ห่างจำเลยที่ ๓ สักคืบกว่า ๆ ก็คว้าเอาธนบัตรนั้นไปแล้วพูดขึ้นทันที่ว่า  "เงินนี่ฉันเอาละ"   ทันใดนั้นเจ้าทรัพย์ก็ตะครุบแย่งเงินที่มือจำเลยที่ ๑ แล้วพูดว่า  "เงินเอามาให้ฉันเถอะ"  แต่ตะครุบแย่งไม่ได้  แล้วจำเลยที่ ๑ ลุกขึ้นชักมีดออกจากพุงทำท่าจะจ้วงแทน  เจ้าทรัพย์จะเข้าไปแย่งเงินอีก   แต่บุตรสาวห้ามไว้เจ้าทรัพย์จึงไม่เข้าแย่ง   แล้วจำเลยที่ ๑ ก็ลงเรือนไป  ต่อมาจำเลยที่ ๒ ก็ไปแล้วจำเลยที่ ๓-๔  จึงไปทีหลัง  จำเลยที่ ๓
พูดว่าเงินนี้หมดเรื่องของฉันแล้ว  จะมาทวงฉันอีกไม่ได้  ดังนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามกฎหมายอาญา  ม.๒๙๙ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเงินยังเป็นของจำเลยที่ ๓ อยู่  จะเป็นของเจ้าทรัพย์ต่อเมื่อได้ส่งมอบกันเสร็จแล้ว   ข้อเท็จจริงได้ความซึ่งต่างกับฟ้องที่ว่า  จำเลยชิงทรัพย์ของเจ้าทรัพย์จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า  ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่าเงินจำนวนนี้ได้มีการส่งมอบกันแล้วเพราะจำเลยที่ ๓ ได้นับเงินเสร็จกอบให้และยังได้ลงชื่อใบสลักหลังสัญญาว่าชำระเงินเสร็จ  ทั้งยังได้พูดว่าเงินนี้หมดเรื่องของจำเลยแล้ว  จะมาทวงอีกไม่ได้  แสดงว่าจำเลยที่ ๓ ถือว่าการส่งมอบนั้นสมบูรณ์ทั้งเจ้าทรัพย์ก็ว่าได้รับมอบเงินแล้ว  จึงพิพากษากลับ ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น.