โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นข้าราชการตำรวจตำแหน่งผู้บังคับหมวดประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองตรัง จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และพวกมีปืนเป็นอาวุธ ได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของโจทก์โดยไม่มีเหตุอันสมควร และไม่ยอมออกเมื่อผู้มีสิทธิห้ามมิให้เข้าได้ไล่ให้ออกเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เหตุเกิดที่ตำบลกำแพง อำเภอละงู จังหวัดสตูล ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๔, ๓๖๕, ๑๕๗, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ ๑ ขาดเจตนาอันเป็นความผิดฐานบุกรุก และไม่ได้กระทำไปเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ส่วนจำเลยที่ ๒ ฟังว่าบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของโจทก์โดยไม่มีเหตุอันสมควร พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ ๑ และลงโทษจำเลยที่ ๒ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ ๑ กระทำไปโดยเหมาะสมแก่พฤติการณ์ในการจับกุม ไม่เป็นการเข้าไปเพื่อรบกวนการครอบครองหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนจำเลยที่ ๒ ก็เป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานผู้จัดการตามหมายจับ พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานตำรวจเดินทางไปจับกุมผู้ต้องหาหลบหนีคดีอยู่ตามหมายจับ พบผู้ต้องหาโดยกะทันหัน ก่อนจะได้ไปขอความร่วมมือจากเจ้าพนักงานตำรวจท้องที่ผู้ต้องหาหนีเข้าบ้านโจทก์ จำเลยที่ ๑ จึงติดตามเข้าไปจับกุมผู้ต้องหาได้ในบ้านโจทก์ในทันใดนั้น เป็นการเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควร มิฉะนั้นผู้ต้องหาอาจหลบหนีไปได้ ไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แม้จะไม่มีหมายค้น จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ที่จำเลยที่ ๑ ขอให้ช่วยเหลือจับกุมตามหมายจับ จึงไม่มีความผิดเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน